แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 อ้างว่าเนื่องจากโจทก์ที่ 1 มีสติไม่บริบูรณ์เหมือนคนธรรมดาและคล้ายกับปัญญาอ่อน แต่พฤติการณ์ที่ปรากฏในสำนวนยังไม่พอฟังว่าโจทก์ที่ 1เป็นเช่นนั้น อันจะเป็นข้ออ้างที่มีเหตุสำคัญในการไม่ยอมจดทะเบียนสมรส จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น จำเลยทั้งสามตกลงรับหมั้นจากฝ่ายโจทก์พร้อมทั้งรับของหมั้นไว้เรียบร้อยแล้ว แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 มอบของหมั้นทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1อันเป็นการผิดสัญญาหมั้น จำเลยทั้งสามซึ่งรับของหมั้นไว้ก็ต้องร่วมกันคืนของหมั้นแก่ฝ่ายโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองทำสัญญาหมั้นกับจำเลยทั้งสาม โดยโจทก์ที่ 1 หมั้นกับจำเลยที่ 3 โจทก์ทั้งสองมอบเงินสด 50,444 บาททองรูปพรรณหนัก 12 บาท แหวนเพชร 1 วง ราคา 25,000 บาท ตุ้มหู1 คู่ ราคา 3,600 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสาม หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1กับจำเลยที่ 3 ทำพิธีแต่งงานกัน ต่อมาโจทก์ที่ 1 ชวนจำเลยที่ 3ไปจดทะเบียนสมรส จำเลยที่ 3 ผัดผ่อนเรื่อยมา และต่อมาจำเลยที่ 3ไม่ยอมอยู่กินกับโจทก์ที่ 1 ขอให้จำเลยทั้งสามคืนของหมั้นให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 127,044 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ที่ 1 หมั้นกับจำเลยที่ 3 จริงของหมั้นจำเลยที่ 3 รับไว้โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้เกี่ยวข้องด้วย ก่อนหมั้นตกลงกันว่าต่างฝ่ายจะต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์แต่เมื่อหมั้นและเข้าพิธีแต่งงานแล้ว จำเลยทั้งสามจึงทราบว่าโจทก์ที่ 1 มีสติสัมปชัญญะไม่บริบูรณ์ เป็นคนปัญญาอ่อนมีสติฟั่นเฟือนคล้ายคนวิกลจริต จำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสซึ่งเหตุสำคัญเกิดจากโจทก์ที่ 1 ของหมั้นจึงตกได้แก่จำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนของหมั้นทั้งหมดแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาโดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินตามราคาทรัพย์ส่วนที่คืนไม่ได้ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ 1ได้หมั้นจำเลยที่ 3 โดยมีของหมั้นคือเงินสด 50,444 บาท ทองรูปพรรณหนัก 12 บาท ราคา 48,000 บาท แหวนเพชร 1 วง ราคา 25,000 บาทตุ้มหู 1 คู่ ราคา 3,600 บาท ต่อมาได้ทำพิธีแต่งงานกัน แต่จำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสและไม่ยอมอยู่กินกับโจทก์ที่ 1มีข้อต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามประการแรกว่า จำเลยทั้งสามผิดสัญญาหมั้นหรือไม่ สำหรับข้ออ้างของจำเลยที่ 3 ที่ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 เนื่องจากโจทก์ที่ 1 มีสติไม่บริบูรณ์เหมือนคนธรรมดาทั่วไป และคล้ายคนปัญญาอ่อน เห็นว่า ที่จำเลยทั้งสามนำสืบมามีแต่จำเลยที่ 3 กล่าวหาโจทก์เช่นนั้น ส่วนพยานอื่นเพียงแต่ได้รับคำบอกเล่าจากตัวจำเลยที่ 3 ถึงแม้โจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 3 เพิ่งรู้จักกันก่อนจะมีการหมั้นไม่นาน เนื่องจากมีผู้แนะนำให้รู้จักกัน แต่จำเลยที่ 3 ก็เคยไปบ้านของโจทก์ที่ 1พยานอื่นของฝ่ายจำเลยที่เห็นโจทก์มาก่อน ก็ไม่มีใครเห็นว่าโจทก์ที่ 1 เป็นคนสติไม่บริบูรณ์หรือมีการกระทำในลักษณะของคนปัญญาอ่อน ทั้งตัวโจทก์ที่ 1 เองดำเนินกิจการค้าเพื่อเลี้ยงชีพแม้จะทำร่วมกับญาติพี่น้อง ก็ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 สามารถที่ประกอบกิจการค้าได้ ตัวจำเลยที่ 3 เมื่อตอนอยู่กินกับโจทก์ที่ 1หลังจากทำพิธีแต่งงานใหม่ ๆ ก็ยังได้ช่วยขายของในร้านของโจทก์ที่ 1ด้วย พฤติการณ์ที่ปรากฏในสำนวนไม่พอฟังว่าโจทก์ที่ 1 เป็นคนสติไม่บริบูรณ์หรือมีการกระทำคล้ายคนปัญญาอ่อน อันจะเป็นข้ออ้างที่มีเหตุสำคัญในการไม่ยอมจดทะเบียนสมรส เมื่อเป็นเช่นนี้จำเลยทั้งสามจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาอีกข้อหนึ่งที่ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 หรือไม่ โดยอ้างว่าของหมั้นทั้งหมดจำเลยที่ 1 ที่ 2ได้มอบให้แก่จำเลยที่ 3 เห็นว่า แม้จะเป็นจริงอย่างข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ปรากฏว่าในการหมั้นรายนี้จำเลยทั้งสามได้ตกลงรับหมั้นจากฝ่ายโจทก์ พร้อมทั้งรับของหมั้นไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ที่ 1 อันเป็นการผิดสัญญาหมั้น จำเลยทั้งสามซึ่งรับของหมั้นไว้ จำต้องคืนของหมั้นแก่ฝ่ายโจทก์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.