คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีจดหมายถึงโจทก์มีใจความว่า ไม่ต้องการรบกวนโจทก์อีก เก่ายังไม่ใช้จะเอาใหม่อีกจำเลยละอายใจ เพียงเท่านี้ไม่ใช่ หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ เพราะไม่ระบุจำนวนเงินโจทก์ จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนนี้ไม่ได้
ต่อมาโจทก์ส่งดราฟท์ไปให้จำเลย จำเลยมีจดหมายตอบว่าได้รับดราฟท์แล้วและต่อมาจำเลยมีจดหมายอีกสองฉบับถึงโจทก์ยืนยันว่า จะใช้เงินที่ยืมให้ จดหมายทั้งหมดประกอบกันเป็นหลักฐานเป็น หนังสือแห่งสัญญากู้ยืมโจทก์จึงฟ้องเรียกเงินจำนวนหลังนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ยืมรวม 6 ครั้ง รวมทั้งดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 98,120 บาท

จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์เลย เงินที่โจทก์ส่งให้เป็นเงินของมารดาจำเลย โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีพยานหลักฐานเป็นหนังสือว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 8,000 บาท แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้และดอกเบี้ย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงิน51,750 บาทกับดอกเบี้ย

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จดหมายที่จำเลยเขียนถึงโจทก์เมื่อจำเลยเดินทางถึงอเมริกาซึ่งมีความว่า “เทอมหน้าจะทำงานตลอด เพราะไม่อยากรบกวนทิ (โจทก์) อีกอันเก่ายังไม่ได้ใช้ เอาอันใหม่เพิ่มอีกเราละอายใจ” ไม่ระบุจำนวนเงินจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืม

ต่อมาจำเลยได้มีจดหมายตอบรับดราฟท์ที่โจทก์ส่งไปให้ 3 ฉบับรวมเป็นเงิน 39,340 บาท และต่อมายังมีจดหมายถึงโจทก์ว่า “ทุก ๆ สตางค์ที่ทิ (โจทก์) ให้วิชัยยืมไปนั้น ทิจะได้คืนทุก ๆ สตางค์” และจดหมายฉบับต่อมาก็ยังกล่าวว่า “เมื่อกลับถึงเมืองไทยจะตั้งต้นเก็บเงินทุกสตางค์แดงเพื่อใช้หนี้แก่ทิ (โจทก์)” เอกสารเหล่านี้ประกอบกันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือแล้วพิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงิน 39,340 บาทกับดอกเบี้ย

Share