คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4829/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่1ที่2ให้การว่าไม้ของกลางเป็นของจำเลยแต่ละคนและปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของไม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าไม้พิพาทเป็นของฝ่ายโจทก์หรือฝ่ายจำเลยการที่จำเลยที่1ที่2นำสืบว่าเป็นหุ้นส่วนทำไม้พิพาทกับโจทก์เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมในไม้พิพาทซึ่งหากฟังได้ว่าเป็นความจริงจำเลยที่1ซึ่งฟ้องแย้งก็ควรได้แต่ส่วนแบ่งเมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่1ได้รับแต่สวนแบ่งนี้ก็ได้ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาให้สิ่งใดๆเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องส่วนจำเลยที่2ศาลก็อาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้จึงถือว่าการนำสืบของจำเลยทั้งสองอยู่ในประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ไม้พิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์การที่จำเลยทั้งสามยื่นคำขอรับไม้พิพาทอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสามทำให้เจ้าพนักงานระงับการคืนไม้พิพาทให้โจทก์ไว้และทำเรื่องหารือไปทางกองอุทยานกรมป่าไม้ในที่สุดต่างมีความเห็นให้ผู้ขอรับไม้พิพาทไปดำเนินคดีทางศาลจึงเป็นเพราะจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งกรรมสิทธิโดยมิชอบหาใช่เพราะเป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่จะคืนไม้ให้ใครหรือไม่การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของไม้พิพาทที่แท้จริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของไม้พะองจำนวน 421 ท่อนซึ่งเป็นไม้ของกลางในคดีอาญาของศาลจังหวัดพิษณุโลก และศาลจังหวัดพิษณุโลกพิพากษายกฟ้อง ไม่ริบไม้ของกลาง พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกสั่งให้พนักงานสอบสวนจัดการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 โจทก์ได้ยื่นหนังสือขอรับไม้พะองของกลางดังกล่าว ต่อมาจำเลยทั้งสามได้ยื่นคำขอรับไม้ของกลางทั้งหมดเช่นกัน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าจึงไม่อาจคืนไม้ดังกล่าวให้โจทก์ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถนำไม้ของกลางออกมาจำหน่ายได้ไม้ของกลางเสื่อมสภาพอย่างมากคิดเป็นค่าเสื่อมสภาพ 121,422 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามไปแจ้งต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและหัวหน้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอนครไทยว่าไม้พะองของกลาง 421 ท่อน ไม่ใช่ของจำเลยทั้งสาม และไม่ขอรับคืนหากไม่แจ้งให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นจำนวน 121,422 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสื่อมสภาพไม้อัตราเดือนละ 10,118.50 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะไปแจ้งต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและหัวหน้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอนครไทยว่าไม้พะองของกลางจำนวน 421 ท่อน ไม่ใช่ของจำเลยทั้งสามและไม่ขอรับคืน
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของไม้พะองของกลางดังกล่าว หากแต่เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงมีสิทธิที่จะยื่นคำขอรับไม้ของกลางคืน เหตุที่เจ้าพนักงานไม่คืนไม้ของกลางให้โจทก์นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ การที่โจทก์ยื่นคำรับไม้ของกลาง เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานไม่อาจจะคืนไม้ของกลางดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายไม่อาจนำไม้ดังกล่าวมาจำหน่ายได้ ขอคิดค่าเสื่อมสภาพไม้ถึงวันฟ้องจำนวนเงิน121,422 บาท ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ไปแจ้งต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าและหัวหน้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอนครไทยว่าไม้ของกลางไม่ใช่ของโจทก์และไม่ขอรับคืน หากไม่แจ้งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 121,422 บาท แก่จำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับจากวันยื่นคำให้การฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากนี้ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสื่อมสภาพไม้ อัตราเดือนละ 10,118.50 บาท นับจากวันยื่นคำให้การและฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะแจ้งต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และหัวหน้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอนครไทยว่า ไม้ของกลางไม่ใช่ของโจทก์และไม่ขอรับคืน
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม้ของกลางจำนวน 421 ท่อน เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิที่จะยื่นคำขอรับไม้ของกลางคืนการสั่งคืนไม้ของกลางอยู่ในดุลพินิจของเจ้าพนักงาน จำเลยที่ 2ไม่ได้ทำให้โจทก์เสียหายแต่ประการใด โจทก์เรียกค่าเสียหายในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ทราบว่ามีจำนวนเพียงใด และฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมไม่ระบุให้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไร ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของไม้พะองของกลางจำนวน 421 ท่อน ไม้ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 3 การที่จำเลยที่ 3 ยื่นคำขอรับไม้ของกลางคืนไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะการสั่งคืนไม้เป็นเรื่องอยู่ในดุลพินิจของเจ้าพนักงานโจทก์เรียกค่าเสียหายและค่าเสื่อมสภาพไม้สูงเกินความเป็นจริงฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมไม่ชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์อย่างไรและค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นจริงหรือไม่ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่เจ้าของไม้ของกลาง ฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 ขาดอายุความ จำเลยที่ 1ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของร่วมในไม้ของกลาง 247 ท่อน ของกลางในคดีอาญา ของศาลจังหวัดพิษณุโลก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่าไม้ของกลางเป็นของจำเลยแต่ละคน และปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของไม้โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 นั้นฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ด้วยศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ข้อหนึ่งว่า ไม้พิพาทเป็นของฝ่ายโจทก์หรือฝ่ายจำเลย การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบว่าเป็นหุ้นส่วนทำไม้พิพาทกับโจทก์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมในไม้พิพาท ซึ่งหากฟังได้ว่าเป็นความจริงจำเลยที่ 1 ซึ่งฟ้องแย้งก็ควรได้แต่ส่วนแบ่ง เมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ได้รับแต่สวนแบ่งนี้ก็ได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลก็อาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ จึงถือว่าการนำสืบของจำเลยทั้งสองอยู่ในประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ไม้พิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำขอรับไม้พิพาทอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสาม ทำให้นายมนูระงับการคืนไม้พิพาทให้โจทก์ไว้ และทำเรื่องหารือไปทางกองอุทยานกรมป่าไม้ในที่สุดต่างมีความเห็นให้ผู้ขอรับไม้พิพาทไปดำเนินคดีทางศาล การที่นายมนูระงับการคืนไม้ให้โจทก์ไว้ดังกล่าวจึงเป็นเพราะจำเลยทั้งสามได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์โดยมิชอบ หาใช่เพราะเป็นดุลพินิจของนายมนูที่จะคืนไม้ให้ใครหรือไม่ดังที่จำเลยต่อสู้ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของไม้พิพาทที่แท้จริง
แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าไม้ของกลางทั้งหมดเป็นของโจทก์และโจทก์ได้รับความเสียหาย 30,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม้พะองพิพาททั้งหมด จำนวน 421 ท่อนเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน30,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share