คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3241/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาให้ ท.จองเซ้งอาคารพิพาทที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างขึ้นในที่ดินราชพัสดุแล้วมีสิทธิให้บุคคลอื่นเช่า ก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับกระทรวงการคลังผู้ให้เช่านั้น จำเลยหาได้มีสิทธิการเช่าที่จะโอนให้แก่ ท.ได้ไม่ แม้สัญญาระหว่างจำเลยกับ ท.จะระบุว่าเป็นสัญญาจองเซ้งอาคารพร้อมสิทธิการเช่า ก็เป็นเพียงสัญญาจองเซ้งอาคารพิพาทเท่านั้น หาใช่เป็นสัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่ เมื่อจำเลยก่อสร้างอาคารพิพาทเสร็จและได้ทำสัญญาเช่ากับกระทรวงการคลังแล้วจำเลยก็ไม่ได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทให้แก่ ท.เงินที่ท.ชำระให้แก่จำเลยจึงเป็นเงินค่าจองเซ้งอาคารพิพาทซึ่งคาดว่าจะได้สิทธิการเช่าต่อไปเท่านั้น หาใช่เป็นการชำระค่าโอนสิทธิการเช่าไม่ การที่ ท. เข้าอยู่ในอาคารพิพาทและชำระค่าเช่าให้แก่กระทรวงการคลังจึงเป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยและทำแทนจำเลย ท. จึงไม่ได้สิทธิการเช่าอาคารพิพาท เมื่อจำเลยได้นำสิทธิการเช่าอาคารพิพาทไปวางเป็นประกันหนี้ไว้แก่ผู้ร้อง โดยได้รับความยินยอมจากกระทรวงการคลังและต่อมาจำเลยได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวตีใช้หนี้ให้แก่ผู้ร้องโดยชอบแล้ว สิทธิการจองเซ้งอาคารพิพาทระหว่างจำเลยกับท.จึงมิใช่สิทธิตามสัญญาที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องยอมปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 122 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้โอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทให้แก่ ท.โดยให้ ท. ชำระเงินแก่กองทรัพย์สินของจำเลยเพิ่มขึ้นอีกบางส่วนนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ซึ่งได้รับความเสียหายย่อมมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเสียได้ตามมาตรา 146.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจาก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งโอนสิทธิการเช่าอาคารราชพัสดุเลขที่ 1/47 ของจำเลย ให้แก่นายทวยทง แซ่จูโดยให้นายทวยทง แซ่จู ชำระเงินเพิ่มแก่กองทรัพย์สินของจำเลยอีก 200,000 บาท ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายที่ 7 ยื่นคำร้องว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าอาคารราชพัสดุจากกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2525 การที่นายทวยทง แซ่จู ทำสัญญาเช่าช่วงอาคารดังกล่าวจากจำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับผู้ให้เช่าจึงเป็นไปไม่ได้ และเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว นายทวยทง แซ่จู ยังได้นำคดีเกี่ยวกับสิทธิการเช่านี้ไปฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นอีก และทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารดังกล่าวให้แก่นายทวยทง แซ่จู ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีอำนาจกระทำนิติกรรมใด ๆ ได้ จึงเห็นได้ว่านายทวยทง แซ่จู กับจำเลยตกลงโอนสิทธิการเช่าให้แก่กันโดยไม่สุจริตและไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าก่อนจำเลยจึงไม่มีอำนาจให้เช่าช่วงและโอนสิทธิการเช่าให้แก่นายทวยทง แซ่จู ทั้งจำเลยได้นำสิทธิการเช่าดังกล่าวมาค้ำประกันการชำระหนี้การกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องไว้ก่อนแล้ว โดยมีข้อตกลงว่าหากไม่ชำระหนี้จำเลยและผู้ให้เช่ายินยอมให้สิทธิการเช่าตกเป็นของผู้ร้อง ดังนี้เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ สิทธิการเช่าอาคารราชพัสดุจึงตกเป็นของผู้ร้องแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจโอนให้แก่นายทวยทง แซ่จูขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และยกคำขอของนายทวยทง แซ่จู เสียด้วย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า นายทวยทง แซ่จูได้ชำระเงินให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว ดังนั้นสิทธิการเช่าอาคารราชพัสดุเลขที่ 1/47 จึงเป็นของนายทวยทง แซ่จู จำเลยไม่มีสิทธินำไปค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้ร้องได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และยกคำขอของนายทวยทง แซ่จู เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องและให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายเกี่ยวกับคำขอของนายทวยทง แซ่จูให้ถูกต้องต่อไป ผู้ร้องและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ข้อแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าคำขอให้โอนสิทธิการเช่าของนายทวยทงเป็นการเสนอขอซื้อทรัพย์ของจำเลยผู้ล้มละลาย การโอนจึงต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการเจ้าหนี้ของผู้ล้มละลายตามกฎหมายนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า อาคารพิพาทเป็นของกระทรวงการคลังก่อนทำการก่อสร้าง จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของโครงการผู้ก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้ทำสัญญาเอกสารหมาย ล.3ให้นายทวยทง แซ่จู จองเซ้งอาคารพิพาทในราคา 350,000 บาทและได้ชำระราคาให้จำเลยแล้วตามเอกสารหมาย ล.4 และเมื่ออาคารพิพาทก่อสร้างเสร็จ นายทวยทงก็ได้เข้าอยู่อาศัย ต่อมาจำเลยจึงได้ทำสัญญาเช่าอาคารที่ก่อสร้างกับกระทรวงการคลังตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ร.4 ซึ่งรวมถึงอาคารพิพาทด้วยและได้นำสิทธิการเช่าตามสัญญาดังกล่าวไปเป็นหลักประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามเอกสารหมาย ร.3 ต่อผู้ร้องโดยความยินยอมของราชพัสดุจังหวัดสุรินทร์ ตัวแทนของกระทรวงการคลังผู้ให้เช่าตามเอกสารหมาย ร.5 และ ร.6 หลังจากนั้นจำเลยผิดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทให้ผู้ร้องเป็นการตีใช้หนี้บางส่วน ตามเอกสารหมาย ร.7 ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยจึงมีเพียงว่าการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทของจำเลยให้แก่นายทวยทง โดยให้นายทวยทงชำระเงินเพิ่มแก่กองทรัพย์สินของจำเลยอีก 200,000 บาท นั้นชอบหรือไม่เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าคำขอให้โอนสิทธิการเช่าของนายทวยทงเป็นการเสนอขอซื้อทรัพย์ของจำเลยผู้ล้มละลาย การโอนจึงต้องได้รับความเห็นชอบจากกรรมการเจ้าหนี้ของผู้ล้มละลายตามกฎหมายนั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ฎีกาข้อนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังขึ้น สำหรับปัญหาว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบหรือไม่ เห็นว่า สิทธิการเช่าอาคารราชพัสดุพิพาทของจำเลยเกิดมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2525 ตามเอกสารหมาย ร.4ก่อนนั้นจำเลยหามีสิทธิดังกล่าวไม่ จำเลยจึงไม่อาจไปทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้ใดได้ เอกสารหมาย ล.3 เป็นสัญญาที่จำเลยได้ทำขึ้นก่อนแล้ว และตามพฤติการณ์นายทวยทงก็น่าจะรู้ดีว่าขณะนั้นจำเลยหามีสิทธิการเช่าอาคารพิพาทที่จะโอนให้ตนได้ไม่ดังจะเห็นว่าต่อมาเมื่อจำเลยถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วนายทวยทงจึงได้นำสัญญาดังกล่าวไปฟ้องจำเลยและมีการตกลงประนีประนอมกัน โดยจำเลยยอมโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทให้นายทวยทงซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยตกลงโอนให้ผู้ร้องตามเอกสารหมาย ร.7 แล้วโดยความยินยอมของผู้ให้เช่าสัญญาเอกสารหมาย ล.3 เป็นเพียงสัญญาจองเซ้งอาคารพิพาทแม้จะมีข้อความจั่วหน้าไว้ด้วยว่าจองเซ้งพร้อมสิทธิเช่าด้วยก็ไม่ทำให้กลายเป็นสัญญาโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทไปได้หลังจากจำเลยได้ทำสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย ร.4 แล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีการตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทให้แก่นายทวยทงตามสัญญาจองเซ้งเอกสารหมาย ล.3 ข้อ 7 แต่อย่างใด การอยู่อาศัยและเสียค่าเช่าอาคารพิพาทของนายทวยทงเป็นการกระทำโดยอาศัยสิทธิของจำเลยและแทนจำเลยทั้งสิ้น ส่วนการชำระราคาของนายทวยทงเป็นการชำระค่าจองเซ้งซึ่งคาดว่าจะได้สิทธิการเช่าต่อไปเท่านั้น หาได้เป็นการชำระราคาค่าโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทไม่เมื่อจำเลยได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทตีใช้หนี้ให้แก่ผู้ร้องแล้ว สิทธิการจองเซ้งอาคารตามเอกสารหมาย ล.3 จึงมิใช่สิทธิตามสัญญาที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องยอมปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 122 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทโดยรับเงินเพิ่มจากนายทวยทง จึงเป็นการไม่ชอบ ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ซึ่งได้รับความเสียหายย่อมมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเสียได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 146 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share