คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ทายาทคนหนึ่งฟ้องผู้จัดการมรดกเกี่ยวกับการจัดการมรดกถือเป็นการฟ้องแทนทายาทคนอื่นๆ ด้วย
โจทก์ที่ 1 เคยฟ้องผู้จัดการมรดกและผู้รับโอนทรัพย์มรดก ขอให้เพิกถอนการเป็นผู้จัดการมรดกและเพิกถอนการโอนทรัพย์มรดก โดยผู้จัดการมรดกและผู้รับโอนทรัพย์มรดกให้การต่อสู้ว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของผู้รับโอนมิใช่ทรัพย์มรดกและคดีขาดอายุความมรดก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทรัพย์พิพาทเป็นทรัพย์มรดก และโจทก์ที่ 1 นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่รู้ถึงการตายของเจ้ามรดก คดีจึงขาดอายุความมรดก พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์ทั้งสามนำคดีมาฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนทรัพย์มรดกเป็นคดีนี้ ขอให้จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์มรดกดังกล่าว แม้จะเปลี่ยนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกรายเดียวกันกับคดีก่อนนั่นเอง เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่า ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยและคดีขาดอายุความมรดก ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้กับคดีก่อนจึงอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน แม้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่การที่โจทก์ที่ 1 เป็นทายาทคนหนึ่งฟ้องผู้จัดการมรดกและทายาทผู้รับโอนทรัพย์มรดกเกี่ยวกับการจัดการมรดกว่าไม่ถูกต้องนั้น ถือว่าเป็นการฟ้องแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทคนอื่นๆ ด้วย ดังนี้ คู่ความในคดีนี้กับคู่ความในคดีก่อน จึงเป็นคู่ความรายเดียวกัน รื้อร้องฟ้องกันอีกโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์ทั้งสามจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 4817 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องพร้อมกับรับผิดชอบค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย โดยให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนจำเลย
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 1463/2544 หรือไม่ เห็นว่า คดีหมายแดงที่ 1463/2544 ที่โจทก์ที่ 1 ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์พิพาทระหว่างนางล้อมกับจำเลยนั้น โจทก์ที่ 1 กล่าวอ้างว่าทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนายเพชรและนางล้อมผู้จัดการมรดกของนายเพชรทราบดีว่าตกได้แก่โจทก์ที่ 1 ในฐานะทายาทด้วยแต่กลับโอนทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยโดยไม่สุจริต นางล้อมและจำเลยให้การต่อสู้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยมิใช่มรดกของนายเพชร และคดีขาดอายุความมรดก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทรัพย์พิพาทเป็นมรดกของนายเพชร แต่โจทก์ที่ 1 นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่รู้ถึงการตายของนายเพชร ฟ้องโจทก์ที่ 1 ขาดอายุความมรดก พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์พิพาทและให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยอ้างว่านางล้อมผู้จัดการมรดกของนายเพชรโอนทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาทของนายเพชร แม้จะเปลี่ยนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็เป็นการฟ้องเรียกทรัพย์มรดกรายเดียวกันกับคดีก่อนนั่นเอง เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยและคดีขาดอายุความมรดก ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้กับในคดีก่อนจึงอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน และแม้โจทก์ที่ 2 และที่ 3 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนแต่การที่โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งฟ้องนางล้อมผู้จัดการมรดกและจำเลยทายาทอีกคนหนึ่งเกี่ยวกับการจัดการมรดกว่าไม่ถูกต้องนั้นถือว่าเป็นการฟ้องแทนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นทายาทคนอื่นๆ ด้วย ถือได้ว่าคู่ความในคดีนี้กับคดีดังกล่าวเป็นคู่ความรายเดียวกัน ฟ้องโจทก์ทั้งสามคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1463/2544 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share