คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะสามารถแบ่งคำบังคับออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่จะต้องส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ กับส่วนที่ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้ารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ก็ตาม แต่ข้อสำคัญในคำบังคับนั้นอยู่ที่ให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทโดยการส่งมอบการครอบครองแก่โจทก์เท่านั้น ส่วนที่มิให้จำเลยทั้งสามและบริวารเข้ามารบกวนการครอบครองของโจทก์อีกนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบังคับให้จำเลยทั้งสามส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและโจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว แสดงให้เห็นแน่ชัดว่าฝ่ายจำเลยทั้งสามได้ออกจากที่ดินตามคำพิพากษาไม่ได้รบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ ถือว่าการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นลงตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว การที่โจทก์ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวก เข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทนี้อีกภายหลังที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว จึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่การบังคับคดีได้เสร็จสิ้นลง ถือเป็นเหตุที่เกิดขึ้นใหม่ โจทก์ชอบที่จะไปดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกเป็นคดีใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีถึงที่สุดว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยทั้งสามและบริวารขนย้ายสิ่งของและรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท

ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2536 ผู้รับมอบฉันทะทนายโจทก์แถลงว่า จำเลยที่ 1 ได้รื้อสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินพิพาทหมดสิ้นแล้ว และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยถูกต้องแล้ว ไม่ประสงค์จะบังคับคดีต่อไป

วันที่ 11 มิถุนายน 2542 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกเข้าไปรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทอีก ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามแถลงว่าไม่ได้บุกรุก แต่ได้กระทำการในที่ดินของจำเลยทั้งสาม ศาลชั้นต้นจึงได้สั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทและสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาท และห้ามจำเลยทั้งสามเกี่ยวข้องกับที่พิพาท การที่จำเลยทั้งสามและบริวารเข้าไปกระทำการตามที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ จึงมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป มิฉะนั้นอาจถูกจับกุมหรือคุมขัง

วันที่ 24 มกราคม 2543 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกเข้าขัดขวางมิให้โจทก์ไถที่ดินพิพาท ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งจับกุมคุมขังจำเลยที่ 1 ที่ 2 และบริวาร

ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้จับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และบริวารเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลต่อไป และได้สั่งนัดพร้อม ถึงวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์แล้วตามรายงานกระบวนการพิจารณาลงวันที่ 27 ธันวาคม 2536การบังคับคดีเสร็จสิ้นลงแล้ว ไม่มีเหตุที่จะบังคับคดีอีก โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297 ให้ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการบังคับคดีนี้ได้เสร็จสิ้นตรงตามคำพิพากษาแล้วหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ถึงที่สุดนั้น พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ห้ามมิให้จำเลยทั้งสามและบริวารเข้ามารบกวนการครอบครองของโจทก์อีกต่อไป ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าวแบ่งคำบังคับออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่จะต้องส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์กับส่วนที่ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้ารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ตามคำแถลงของผู้รับมอบฉันทะทนายโจทก์ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 27 ธันวาคม 2536 ของศาลชั้นต้น แสดงได้แต่เพียงว่าการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นลงแต่เฉพาะส่วนที่มีการส่งมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองเท่านั้น อันเป็นการบังคับคดีเสร็จสิ้นไปบางส่วน ส่วนคำขอให้ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทหาได้เสร็จสิ้นลงไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกยังคงเข้ามารบกวนการครอบครองของโจทก์อยู่อีก โจทก์จึงชอบที่จะขอบังคับคดีได้อีกนั้น เห็นว่า แม้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะมีคำบังคับอยู่ 2 ส่วน ดังที่โจทก์กล่าวอ้างก็ตาม แต่ข้อสำคัญในคำบังคับนั้นอยู่ที่ว่า ให้จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทโดยส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์เท่านั้น ส่วนที่ว่ามิให้จำเลยทั้งสามและบริวารเข้ามารบกวนการครอบครองของโจทก์อีกนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบังคับให้จำเลยทั้งสามส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของตนออกจากที่ดินพิพาทจนหมดสิ้นแล้ว และการที่โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างแน่ชัดแล้วว่าฝ่ายจำเลยทั้งสามได้ออกไปจากที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาไม่ได้รบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ ถือได้ว่าการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นลงตรงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว การที่โจทก์ถูกจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกเข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทนี้อีกในภายหลังจากที่โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่การบังคับคดีคดีนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ถือได้ว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นใหม่ ชอบที่โจทก์จะไปดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกเป็นคดีใหม่ โจทก์ไม่อาจจะอาศัยคำพิพากษาคดีนี้ซึ่งการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นไปแล้วมาบังคับเอาแก่การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกในครั้งใหม่นี้ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share