คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4824/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงชื่อมอบให้จำเลยซื้อที่ดินของ ด. แทนโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์และลงวันที่ย้อนหลัง แล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานและนำสืบในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่าง จำเลยกับ ว. เพื่อให้ศาลหลงเชื่อว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยจัดการเกี่ยวกับที่ดินแปลงอื่นมิใช่มอบให้จัดการซื้อที่ดินของ ด. ดังนี้ เป็นการปลอมหนังสือมอบอำนาจขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาลในคดีแพ่ง โดยเจตนาให้ศาลหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง หากจำเลยจะมีความผิดเนื่องจากการกระทำดังกล่าวของจำเลย จำเลยก็จะมีความผิดเฉพาะฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 อันเป็นเจตนาที่แท้จริงของจำเลยเท่านั้น จำเลยหามีความผิดตามมาตรา 264 และ 268 ไม่เพราะไม่ปรากฏว่าข้อความที่จำเลยปลอมขึ้นในหนังสือมอบอำนาจได้ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แต่ประการใด
ประเด็นสำคัญในคดีแพ่งมีว่า โจทก์สั่งจ่ายเช็คให้จำเลยไปวางมัดจำและชำระราคาที่ดินบางส่วนในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของ ด. แทนโจทก์แต่จำเลยรับโอนที่ดินนั้นใส่ชื่อตนเองจริงหรือไม่ ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจ จำเลยจะไม่ส่งอ้างหนังสือมอบอำนาจนี้ก็ได้ เพราะเป็นการมอบอำนาจให้จัดการเกี่ยวกับที่ดินต่างแปลงกัน การที่จำเลยนำสืบถึงเอกสารหนังสือมอบอำนาจนี้จึงไม่เป็นการนำสืบพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดี จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180
จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็คให้จำเลยนำไปว่างมัดจำและชำระค่าที่ดินของ ด. มิใช่จ่ายเช็คชำระหนี้ให้จำเลยการที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็คดังกล่าวชำระหนี้ให้จำเลย จึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่ง อันเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีจำเลยจึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๑๘๐, ๒๖๔, ๒๖๘
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ วรรคสอง, ๒๖๘, ๑๘๐ วรรคแรก ลงโทษตามมาตรา ๑๘๐ วรรคแรก จำคุก ๒ ปี และผิดตามมาตรา ๑๗๗ วรรคแรก จำคุก ๒ ปี รวมจำคุก ๔ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เชื่อได้ว่าโจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๓ มอบให้จำเลยไปเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ โดยมิได้กรอกข้อความเพื่อให้จำเลยนำไปกรอกข้อความจัดการซื้อที่ดินของหลวงดิฐการภักดีแทนโจทก์ แต่จำเลยกลับนำไปกรอกข้อความโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์และลงวันที่ที่มอบอำนาจย้อนหลังดังกล่าวแล้ว แล้วนำไปอ้างเป็นพยานหลักฐานและนำสืบในการพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๕๔๐๓/๒๕๒๒ ของศาลแพ่ง เพื่อให้ศาลหลงเชื่อว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยจัดการเกี่ยวกับที่ดินที่ซอยศาสนา มิใช่มอบให้จัดการซื้อที่ดินของหลวงดิฐการภักดี เมื่อหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๓ อยู่ในความครอบครองของจำเลยตลอดมาจนกระทั่งนำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาล ได้มีการกรอกข้อความขึ้นโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ และนำไปอ้างเป็นพยานหลักบานในการพิจารณาคดี จึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารหนังสือมอบอำนาจนั้นขึ้นและได้ใช้นำสืบเป็นพยานหลักฐานในคดีตามฟ้อง แต่จำเลยจะมีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ และ ๒๖๘ หรือไม่นั้น เห็นว่าตามฟ้องของโจทก์และทางพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งว่า จำเลยปลอมเอกสารหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๓ ขึ้นก็เพื่อนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาลแพ่งในคดีดังกล่าวโดยเจตนาให้ศาลแพ่งหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และจำเลยได้ใช้เอกสารนี้ตามเจตนาดังกล่าวของจำเลยแล้ว ดังนั้นหากจำเลยจะมีความผิดเนื่องจากการกระทำดังกล่าวของจำเลย จำเลยก็จะมีความผิดเฉพาะฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๑๘๐ อันเป็นเจตนาที่แท้จริงของจำเลยเท่านั้น จำเลยหามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔ และ ๒๖๘ ดังที่โจทก์ฟ้องไม่ ทั้งนี้เพราะตามฟ้องของโจทก์และตามทางพิจารณาไม่ปรากฏเลยว่าข้อความที่จำเลยปลอมขึ้นในหนังสือมอบอำนาจ ดังกล่าวนั้น ได้ก่อหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แต่ประการใดเลย กล่าวคือโจทก์มิได้เสียหายเกี่ยวกับที่ดินที่ตั้งอยู่ที่ซอยศาสนา อย่างไรก็ตามการกระทำของจำเลยดังกล่าวจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐ หรือไม่นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๕๔๐๓/๒๕๒๒ ของศาลแพ่งนั้นมีประเด็นสำคัญว่า โจทก์สั่งจ่ายเช็คให้จำเลยไปวางมัดจำและชำระราคาที่ดินบางส่วนในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๗๕ แขวงคลองจั่น แทนโจทก์ แต่จำเลยรับโอนที่ดินนั้นใส่ชื่อตนเองจริงหรือไม่ ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเลย จำเลยจะไม่ส่งอ้างหนังสือมอบอำนาจนี้เลยก็ได้ เพราะหนังสือมอบอำนาจนี้เป็นการมอบอำนาจให้จัดการเกี่ยวกับที่ดินซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยศาสนา แขวงสามเสนใน ซึ่งเป็นที่ดินต่างแปลงกัน ดังนั้นการที่จำเลยนำสืบถึงเอกสารหนังสือมอบอำนาจนี้ จึงไม่ถือว่าเป็นการนำสืบพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดีนั้น จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น จำเลยเบิกความต่อศาลแพ่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๕๔๐๓/๒๕๒๒ ของศาลแพ่ง เป็นใจความว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยอยู่ประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ โจทก์สั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ชำระหนี้ให้จำเลย โดยจำเลยบอกโจทก์ว่าจะเอาเงินนั้นไปซื้อที่ดินของหลวงดิฐการภักดี แต่โจทก์เข้าใจผิดเขียนเช็คสั่งจ่ายให้คุณหญิงดิฐการภักดี ต่อมาเดือนสิงหาคม ๒๕๑๗ จำเลยทวงเงินจากโจทก์เพื่อนำไปชำระค่าที่ดินดังกล่าวอีก โจทก์ก็ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ชำระหนี้ให้จำเลยโดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยซื้อที่ดินของหลวงดิฐการภักดีเป็นส่วนตัว โจทก์มิได้มอบอำนาจให้จำเลยไปซื้อที่ดินดังกล่าว หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.๒๕ (หรือเอกสารหมาย จ.๓ ในคดีนี้) เป็นการมอบอำนาจให้จัดการเกี่ยวกับที่ดินที่ซอยศาสนา โดยโจทก์ได้กรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจนั้นครบถ้วนแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์สั่งจ่ายเช็ค ๒ ฉบับนั้นให้จำเลยนำไปวางมัดจำและชำระค่าที่ดินของหลวงดิฐการภักดี มิใช่จ่ายเช็คชำระหนี้ให้จำเลยการที่จำเลยเบิกความดังกล่าวจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลแพ่งในคดีดังกล่าวนั้น อันเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดี จำเลยจึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ วรรคแรก ให้จำคุก ๒ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share