คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลหนี้แต่ละรายเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้รับเงินไปแล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินและทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ หาได้เกิดตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้ตกลงจะให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ไม่ แม้จะยังไม่ประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ในราชกิจจานุเบกษา และเจ้าหนี้จะจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่นำมาขอรับชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยสุจริตและไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้ก็จะขอรับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2524เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญารับชำระหนี้เป็นเงิน 832,000 บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นว่า มูลหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระเกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้

เจ้าหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีเชื่อได้ว่าเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เพราะคำสั่งดังกล่าวเพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาหลังจากเจ้าหนี้จ่ายเงินให้ลูกหนี้ไปแล้ว และมูลหนี้รายนี้เกี่ยวเนื่องมาจากการตกลงระหว่างเจ้าหนี้ลูกหนี้ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้จึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้รายนี้ พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น อนุญาตให้เจ้าหนี้ผู้รับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้จำนวน 832,000 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ทั้งสองฎีกาว่าศาลได้สั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ทั้งสองเด็ดขาด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2524เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ตามมาตรา 22 และ 24 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ลูกหนี้ทั้งสองไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน ลูกหนี้ที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่เจ้าหนี้ผู้รับชำระหนี้รายที่ 8 นำมาขอรับชำระหนี้ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2524 มูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 นั้น เห็นว่าแม้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 ได้ทำสัญญาจะให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่ 1 เพื่อให้ลูกหนี้ที่ 1 นำเงินไปประกอบธุรกิจส่งสินค้าไปต่างประเทศโดยกำหนดวิธีการให้สินเชื่อดังที่ศาลฎีกากล่าวข้างต้นตั้งแต่พ.ศ. 2518 แต่ลูกหนี้ที่ 1 ต้องการสินเชื่อเมื่อใด เป็นจำนวนเงินเท่าใด ลูกหนี้ที่ 1จะต้องนำเลตเตอร์ออฟเครดิตของผู้สั่งซื้อสินค้ามาแสดง โดยเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นจะต้องผ่านธนาคารในต่างประเทศมายังธนาคารในประเทศ และลูกหนี้ที่ 1จะต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 ตามจำนวนเงินที่ได้รับจากเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 ทั้งจะต้องทำสัญญารับชำระหนี้ด้วยเห็นได้ชัดว่า มูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญารับชำระหนี้ที่ลูกหนี้ที่ 1ออกให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 เกิดขึ้นเป็นคราว ๆ ไป มูลหนี้แต่ละรายเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ที่ 1 รับเงินไปแล้วออกตั๋วสัญญาใช้เงินและทำสัญญารับชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 ดังนั้นมูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 30กรกฎาคม 2524 และสัญญารับชำระหนี้ลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2524 ที่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 มาขอรับชำระหนี้รายนี้จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม2524 หลังจากวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ทั้งสองแล้ว หาได้เกิดตั้งแต่วันที่เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 ตกลงจะให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่ 1 ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ไม่ แม้จะยังมิได้ประกาศคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในราชกิจจานุเบกษาและเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 จะจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่นำมาขอรับชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ 1 ไปโดยสุจริตและไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของลูกหนี้ทั้งสอง เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้รายที่ 8 ก็จะขอรับชำระหนี้ในจำนวนเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไม่ได้ตามมาตรา 94 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483

พิพากษากลับ ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share