คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4819/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์มิได้ขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดิน มิใช่เป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้แก่จำเลยโดยโจทก์อ้างว่าทำขึ้นโดยไม่สุจริต แต่เมื่อโจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินมาตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4โดยชอบอย่างไร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดิน ไม่ว่าหนังสือ รับรองการทำประโยชน์จะออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อพ.ศ. 2502 โจทก์ น้องชายโจทก์และบิดาโจทก์ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินว่างเปล่าไม่มีบุคคลใดเป็นเจ้าของ เนื้อที่ 26 ไร่เศษ อยู่หมู่ที่ 3ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยเจตนายึดถือเพื่อตน โดยใช้ทำไร่ข้าวโพด ไร่ถั่วเหลืองและปลูกต้นไม้ยืนต้น เช่น ต้นน้อยหน่าและต้นมะขามเทศ ซึ่งโจทก์และพวกได้ครอบครองติดต่อกันตลอดมา ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2533 มีบุคคลภายนอกมาอ้างสิทธิในที่ดินแปลงนี้ พร้อมทั้งบุกรุกเข้ามาในที่ดินส่วนหนึ่งโจทก์จึงไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน ก็ได้ทราบว่าจำเลยที่ 1ได้นำที่ดินของโจทก์กับพวกไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศ โดยจำเลยที่ 1แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานว่า ตนเป็นผู้ครอบครองที่ดินและได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 548หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 สมคบกับพ้นโทสริน แจ่งแสงรัตน์โดยไม่สุจริต จดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งแปลงให้พ้นโทสรินโดยพันโทสรินทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท ทั้งพันโทสรินก็ไม่ได้เข้ามาครอบครองที่ดินพิพาทด้วย ต่อมาพันโทสรินจดทะเบียนยกที่ดินทั้งแปลงให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยคบคิดกันกระทำการโดยไม่สุจริต และจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ก็ไม่เคยเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ขอให้พิพากษาเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 548 ตำบลกลางดงอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า โจทก์หรือพวกไม่เคยครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1พันโทสริน จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้สมคบกันกระทำการโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 1 พันโทสริน จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาเมื่อต้นเดือนธันวาคม2533 โจทก์หรือตัวแทนของโจทก์เป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามาในที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาความปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 จากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 548 ตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่คู่ความนำสืบรับกันและไม่โต้เถียงกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันบุคคลอาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินเดิมจำเลยที่ 1 เป็นผู้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะรายสำหรับที่ดินพิพาท และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 548 ตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2519 ต่อมาวันที่ 29 กันยายน 2521 จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่พันตำรวจโทสริน วันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 พันตำรวจโทสรินได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 โดยเสน่หาปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13 พิเคราะห์แล้ว ตามฟ้องและทางนำสืบโจทก์อ้างว่าโจทก์และบิดาโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2502 ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ได้ความว่าโจทก์อาจได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินพิพาทโดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายที่ดินอย่างไร และตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตอลดถึงผู้รับโอนด้วย”บทบัญญัติดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2497 เมื่อโจทก์อ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2502 เป็นต้นมา จึงเป็นการครอบครองภายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้ว โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยชอบและคดีนี้มิใช่เป็นการฟ้องขอห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท อันเป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 แต่เป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้แก่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์อ้างว่าทำขึ้นโดยไม่สุจริตเมื่อโจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยชอบโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทไม่ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share