คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อกำหนดของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(3) หมายความว่า เมื่อลูกจ้างกระทำผิดเรื่องใดซึ่งไม่ร้ายแรงและนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว ต่อมาได้กระทำผิดเรื่องเดียวกันซ้ำอีก นายจ้างก็มีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย โจทก์ละทิ้งหน้าที่รวมสามครั้งแต่ละครั้ง ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง จำเลยลงโทษตักเตือนเป็นหนังสือแล้วทั้งสามครั้ง เมื่อโจทก์ไม่ได้กระทำผิดซ้ำคำตักเตือนอีกเป็นครั้งที่สี่แต่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยเหตุที่เคยลงโทษไปแล้ว เท่ากับเป็นการลงโทษซ้ำความผิดเดิม การเลิกจ้างจึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว แม้ข้อบังคับการทำงานของจำเลยจะกำหนดว่า การละทิ้งหน้าที่สามครั้งเป็นเรื่องร้ายแรงอาจเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องตักเตือนจำเลยก็ไม่อาจนำเหตุดังกล่าวมาเลิกจ้างโจทก์ได้จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าทุจริตละทิ้งหน้าที่ 3 ครั้ง จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งซึ่งจำเลยตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว โจทก์มิได้กระทำความผิดดังกล่าวการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งเลิกจ้าง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาวินิจฉัยว่า โจทก์ละทิ้งหน้าที่ 3 ครั้งจำเลยได้ตัดเตือนเป็นหนังสือแล้ว ถือว่าโจทก์กระทำผิดและถูกลงโทษตามข้อบังคับการทำงานของจำเลยรวม 3 ครั้ง จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 บัญญัติว่านายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้ (3) ฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีร้ายแรงนายจ้างไม่จำต้องตักเตือนและข้อบังคับการทำงานของจำเลยข้อ 26 ระบุว่า โทษทางวินัยมี 3 สถาน ดังนี้
(1) ว่ากล่าวตักเตือนด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือ
(2) ตัดเงินเดือนหรือลดค่าจ้าง และ/หรือไม่ขึ้นเงินเดือนไม่เกินกว่า 3 ปี ติดต่อกัน
(3) พักงานหรือเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
พนักงานที่เคยทำงานและถูกลงโทษสถาน (1) และ/หรือ (2)รวม 3 ครั้ง ถือว่าพนักงานผู้นั้นกระทำผิดร้ายแรงซึ่งบริษัทจะลงโทษสถาน(3) ได้ โดยไม่ต้องตักเตือนอีกแต่อย่างใด เห็นว่าประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) ดังกล่าวหมายความว่า เมื่อลูกจ้างกระทำผิดเรื่องใดซึ่งไม่ร้ายแรง และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วต่อมาได้กระทำผิดเรื่องเดียวกันซ้ำอีกนายจ้างก็มีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่กรณีของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ได้ละทิ้งหน้าที่รวม 3 ครั้ง แต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องร้ายแรง จำเลยจึงลงโทษเพียงการตักเตือนเป็นหนังสือแล้วทั้งสามครั้งตามเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.4 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้มากระทำผิดซ้ำคำตักเตือนอีกเป็นครั้งที่สี่แต่จำเลยกลับมาเลิกจ้างโจทก์โดยอาศัยเหตุที่เคยลงโทษไปแล้วเช่นนี้ จึงเท่ากับเป็นการลงโทษซ้ำความผิดที่ได้ลงโทษตักเตือนไปแล้วอีก การเลิกจ้างจึงมิชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แม้ตามข้อบังคับการทำงานของจำเลยข้อ 26 วรรคท้ายดังกล่าวมาแล้ว จะมีความหมายว่า การละทิ้งหน้าที่ 3 ครั้ง ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอาจเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องตักเตือนอีกก็ตาม แต่การกระทำผิดข้อบังคับข้อใดจะเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่จะต้องวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป มิใช่ถือตามข้อบังคับที่จำเลยกำหนดเมื่อปรากฏว่าโจทก์มิได้กระทำผิดร้ายแรง และความผิดที่โจทก์กระทำทั้ง 3 ครั้ง ได้ถูกจำเลยลงโทษตักเตือนไปแล้วดังที่กล่าวมาจำเลยจึงไม่อาจนำเหตุดังกล่าวมาเลิกจ้างโจทก์ได้ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเท่ากับเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ แต่การกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางจะกำหนด ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหาย และเห็นสมควรให้กำหนดจำนวนค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามาเสียด้วยในคราวเดียวกัน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share