คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4814/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน 52,531 บาท ค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน 40,000 บาทค่าพาหนะเดินทางจำนวน 10,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน 15,000บาท และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน 200,000 บาทรวมเป็นเงิน 317,531 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่า ค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน 4,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้ และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน 40,000 บาท ดังนั้นทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน 181,000 บาท และเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน 194,575 บาท ไม่เกิน200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าพาหนะที่ภริยาโจทก์มาเฝ้าไข้และค่ารักษาพยาบาลโจทก์ในอนาคตจำนวน 89,931 บาท ค่าที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ในการทำมาหาได้จำนวน 156,000 บาท และค่าเสียหายจากการที่โจทก์ต้องเสียความสามารถในการประกอบการงานโดยสิ้นเชิงเป็นเงิน780,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,025,931 บาท นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ก็มิใช่ผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารประจำทางหมายเลขทะเบียน 11-6236 กรุงเทพมหานคร ด้วย ทั้งเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ จำเลยที่ 1มิใช่ฝ่ายผิด จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยส่วนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินกว่าความเป็นจริงซึ่งไม่ควรเกิน 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 317,531 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราในร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิด (23 พฤศจิกายน 2532) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่ารักษาพยาบาลจำนวน 52,531 บาท ค่าขาดรายได้จากการทำงานจำนวน 40,000 บาท ค่าพาหนะเดินทางจำนวน 10,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าจำนวน 15,000 บาท และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานจำนวน 200,000 บาท รวมเป็นเงิน 317,531 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายอันเป็นข้อเท็จจริงว่า ค่าพาหนะเดินทางไม่ควรเกิน 4,000 บาท ค่าผ่าตัดรักษาเท้าไม่ควรกำหนดให้ และค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานไม่ควรเกิน 40,000 บาท ดังนั้นทุนทรัพย์ที่ยังพิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวน 181,000 บาท และเมื่อรวมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องแล้วรวมเป็นเงิน 194,575 บาท ไม่เกิน 200,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 มาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 2

Share