คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามและอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นบิดามารดาโจทก์ได้ทำหนังสือนาซาร์ซึ่งเป็นพินัยกรรมตามหลักศาสนาอิสลามยกที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่า หนังสือนาซาร์ที่โจทก์อ้างไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายอิสลามเพราะผู้ทำไม่ได้เปล่งวาจากล่าว (ลาภาซ) แสดงเจตนาตามข้อความในหนังสือนาซาร์หรือกล่าวลาภาซไม่ถูกต้อง จึงมีปัญหาข้อกฎหมายว่าหนังสือนาซาร์ที่โจทก์อ้างนั้นมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายอิสลามหรือไม่ เมื่อโจทก์จำเลยเป็นอิสลามมิกชน และมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตจังหวัดปัตตานีการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับมรดกของผู้นับถือศาสนาอิสลามจึงต้องให้ดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้วินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 มาตรา 4 ศาลชั้นต้นจึงให้ดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ดะโต๊ะยุติธรรมวินิจฉัยว่า หนังสือนาซาร์ของโจทก์เป็นนาซาร์ที่มีเงื่อนไขและไม่เปล่งวาจากล่าว(ลาภาซ) ซึ่งเป็นบทบังคับให้ผู้กล่าวปฏิบัติตาม หนังสือนาซาร์ของโจทก์เป็นนาซาร์ที่ไม่สมบูรณ์ตามหลักศาสนาอิสลามคดีโจทก์จึงไม่อาจนำกฎหมายอิสลามว่าด้วยมรดกมาใช้บังคับ เมื่อดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้ชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายอิสลามดะโต๊ะยุติธรรมจึงต้องลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย การลงชื่อของดะโต๊ะยุติธรรม จึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันโดยเป็นบุตรของนายหะยีบือราเฮง ลือบาอูเด็ง และนางหะยีเจ๊ะมีเน๊าะหรือมีเน๊าะลือบาอูเด็ง นายหะยีบือราเฮงและนางหะยีเจ๊ะมีเน๊าะหรือมีเน๊าะได้ทำหนังสือนาซาร์(พินัยกรรมตามหลักศาสนาอิสลาม) มีข้อความว่า เมื่อผู้ทำพินัยกรรมเจ็บป่วยและก่อนตาย 2 วัน ให้ทรัพย์สินต่อไปนี้ตกเป็นของโจทก์ คือที่ดินแปลงที่ 1 พร้อมบ้าน 1 หลังเลขที่ 69 หมู่ที่ 4 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 7) ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีและที่ดินแปลงที่ 2 ซึ่งเป็นที่ดินนา เนื้อที่ 4 ไร่ ตั้งอยู่ที่บ้านท่ายาลอ หมู่ 4 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 7) ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ต่อมาในปี 2510 โจทก์ได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ก่อนย้ายภูมิลำเนาบิดาโจทก์ได้สั่งเสียแก่โจทก์ว่าหากบิดาโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนมารดาก็อย่าเพิ่งรับมรดกตามหนังสือนาซาร์ให้มารดาโจทก์และจำเลยอยู่ในบ้านพิพาทดังกล่าวไปก่อน ส่วนที่นาพิพาทก็ให้มารดาและจำเลยเก็บกินก่อนจนกว่ามารดาจะถึงแก่กรรมแล้วจึงให้รับมรดกตามหนังสือนาซาร์ได้โจทก์ได้แจ้งคำสั่งของบิดาโจทก์ให้แก่มารดาและจำเลยทราบแล้ว บิดาโจทก์ถึงแก่กรรมหลังจากนั้นโจทก์ก็ได้ให้มารดาและจำเลยอยู่อาศัยในที่พิพาทต่อไป ปี 2536 มารดาโจทก์ถึงแก่กรรมโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่พิพาทแปลงที่ 1 แต่จำเลยไม่ยอมออก โจทก์ทราบว่าจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นของจำเลย ซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ขอพิพากษาให้จำเลยเพิกถอนทำลายนิติกรรมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 138 เนื้อที่ 2 ไร่ 93 5/10 ตารางวา และเพิกถอนทำลาย น.ส.3 ก.เลขที่ 883 เนื้อที่ 11 ไร่ 2 งาน 83 ตารางวา ภายใน 30 วัน นับแต่วันพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยและบริวารย้ายออกและขนย้ายสิ่งของสัมภาระออกจากบ้านเลขที่ 69 หมู่ที่ 4 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 7)ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาท

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า หนังสือนาซาร์ที่โจทก์อ้างไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายอิสลาม เพราะผู้ทำไม่ได้เปล่งวาจากล่าว (ลาภาซ) แสดงเจตนาตามข้อความในหนังสือนาซาร์หรือกล่าวลาภาซไม่ถูกต้อง บ้านเลขที่ 69 พร้อมที่พิพาทซึ่งมีชื่อบิดาโจทก์และจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ความจริงแล้วเป็นของบิดาโจทก์เพียงบางส่วนเท่านั้นที่เหลือเป็นของมารดา แต่ตอนไปออกโฉนดที่ดินมารดายอมให้ใส่ชื่อบิดาเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว และบิดามารดาโจทก์ได้แสดงเจตนาทำหนังสือนาซาร์ยกส่วนของตนให้แก่จำเลยและบุคคลอื่น ๆ หมดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2514 โดยบิดาโจทก์จำเลยได้แสดงเจตนานาซาร์ยกบ้านเลขที่ 69 พร้อมที่ดิน เนื้อที่ 2 ไร่เศษ ให้แก่จำเลยที่เหลือยกให้แก่บุคคลอื่น ๆ ตามส่วนไปเรียบร้อยแล้ว คดีนี้มิใช่คดีแพ่งเกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดก จึงไม่อาจนำกฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกมาบังคับใช้แทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ว่า ให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายมีว่า ดะโต๊ะยุติธรรมร่วมกันวินิจฉัยและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามและอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นบิดามารดาโจทก์ได้ทำหนังสือนาซาร์ซึ่งเป็นพินัยกรรมตามหลักศาสนาอิสลามยกที่ดินให้แก่โจทก์จำเลยให้การต่อสู้ว่า หนังสือนาซาร์ที่โจทก์อ้างไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายอิสลามเพราะผู้ทำไม่ได้เปล่งวาจากล่าว (ลาภาซ) แสดงเจตนาตามข้อความในหนังสือนาซาร์หรือกล่าวลาภาซไม่ถูกต้อง ดังนี้ จึงมีปัญหาที่คู่ความโต้เถียงกันในปัญหาข้อกฎหมายว่าหนังสือนาซาร์ที่โจทก์อ้างนั้นมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายอิสลามหรือไม่ เมื่อโจทก์จำเลยเป็นอิสลามมิกชน และมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตจังหวัดปัตตานี การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับมรดกของผู้นับถือศาสนาอิสลามดังกล่าวจึงต้องให้ดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้วินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 มาตรา 4 ศาลชั้นต้นจึงให้ดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ ดะโต๊ะยุติธรรมวินิจฉัยว่า หนังสือนาซาร์ของโจทก์เป็นนาซาร์ที่มีเงื่อนไขและไม่เปล่งวาจากล่าว (ลาภาซ) ซึ่งเป็นบทบังคับให้ผู้กล่าวปฏิบัติตามหนังสือนาซาร์ของโจทก์เป็นนาซาร์ที่ไม่สมบูรณ์ตามหลักศาสนาอิสลาม คดีโจทก์จึงไม่อาจนำกฎหมายอิสลามว่าด้วยมรดกมาใช้บังคับ และเมื่อดะโต๊ะยุติธรรมเป็นผู้ชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายอิสลามเช่นนี้ ดะโต๊ะยุติธรรมจึงต้องลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย การลงชื่อของดะโต๊ะยุติธรรมจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”

พิพากษายืน

Share