แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350ที่บัญญัติว่า ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทนนั้น เมื่อที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 17462แบ่งแยกมาจากที่ดินของ บ. อีกทั้งที่ดินของโจทก์ดังกล่าวมีที่ดินของผู้อื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้แม้โจทก์จะสามารถเข้าออกผ่านที่ดินของ ช. ก็ดี แต่การเข้าออกผ่านที่ดินของ ช. ยังจะต้องเข้าออกผ่านที่ดินของ บ. ส่วนที่เป็นถนนอีกทอดหนึ่ง การผ่านที่ดินของช. เป็นเรื่องของความยินยอม หาใช่สิทธิตามกฎหมายไม่กรณีต้องถือว่าที่ดินของโจทก์ไม่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เปิดช่องทางพิพาทเป็นทางเข้าออก ถึงแม้จะต้องรื้อรั้วเฉพาะส่วนที่ปิดช่องทางเข้าออกของโจทก์ออก แต่ก็เพื่อให้ที่ดินโจทก์เชื่อมต่อกับทางพิพาทซึ่งจำเลยเองก็ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกถนนสาธารณะอยู่แล้วน่าจะทำให้จำเลยเสียหายน้อยที่สุด ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิกระทำได้ตามกฎหมาย และไม่ถือว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริต
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17462 และ 38368 รวมเนื้อที่ 73 ตารางวา โดยโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากนางบัวลอย วิริยา มารดาจำเลย และนายบุญช่วย ธรรมเสน ที่ดินของโจทก์อยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 17460 ของนางบัวลอยซึ่งต่อเป็นผืนเดียวกัน นางบัวลอยได้ทำทางออกจากที่ดินไปสู่ถนนสันติสุข อันเป็นถนนสาธารณะส่วนที่ดินของโจทก์อยู่ในที่ล้อม ไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะเนื่องจากที่ดินของนางบัวลอยในส่วนที่เป็นถนนปิดกั้นอยู่แต่นับแต่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางบัวลอย นางบัวลอยยินยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินของนางบัวลอยส่วนที่เป็นถนนเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสันติสุขซึ่งเป็นทางสาธารณะ โจทก์ได้ใช้ทางดังกล่าวเข้าออกสู่ถนนสันติสุข เรื่อยมาเป็นเวลาประมาณ 10 ปีแล้วต่อมาประมาณต้นปี 2536 โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 38368 เนื้อที่ประมาณ 5 ตารางวา จากนายบุญช่วย ธรรมเสน เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกไปยังที่ดินของนางบัวลอยในส่วนที่เป็นถนนเพื่อเข้าออกสู่ทางสาธารณะ มีความกว้างประมาณ 6 เมตร โดยนางบัวลอยยินยอมให้โจทก์ใช้ทางดังกล่าวออกสู่ที่ดินนางบัวลอยในส่วนที่เป็นถนนออกสู่ทางสาธารณะได้ ครั้นวันที่ 22 เมษายน 2536นางบัวลอยและจำเลยได้ใช้ไม้ปิดกั้นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะของโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์บอกกล่าวให้นางบัวลอยเปิดทางให้แล้ว แต่นางบัวลอยเพิกเฉยแล้วฆ่าตัวตาย จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกและเป็นทายาทของนางบัวลอย โจทก์จึงบอกกล่าวไปยังจำเลย แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งที่ปิดกั้นออกและเปิดทางพิพาทกว้าง 6 เมตร ยาวตลอดจากที่ดินโจทก์ออกสู่ถนนสันติสุข
จำเลยให้การว่า โจทก์มีทางเข้าออกไปสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินของนายบุญช่วย ธรรมเสน กว้างประมาณ 2 เมตร ซึ่งใช้เข้าออกได้สะดวก โดยผ่านที่ดินบางส่วนของนางบัวลอยเพื่อออกสู่ถนนสันติสุขซึ่งเป็นถนนสาธารณะ โดยจำเลยใช้ช่องทางนี้เป็นเวลาหลายปีแล้วอย่างไม่เดือดร้อน เนื่องจากจำเลยขับรถจักรยานยนต์เป็นประจำเดิมนางบัวลอยใช้ไม้ผูกติดกันปิดกั้นแนวเขตตลอดแนวจนถึงถนนและได้เว้นช่องทางให้โจทก์และนายบุญช่วย ผ่านเข้าออกได้มีความกว้างประมาณ 2 เมตร ต่อมาโจทก์ปลูกบ้านใหม่และรื้อรั้วไม้ดังกล่าวออกเพื่อสะดวกในการขนวัสดุมาใช้ก่อสร้างบ้าน เมื่อโจทก์ปลูกบ้านเสร็จ นางบัวลอยจึงเอาไม้มาผูกปิดกั้นตามแนวเดิม เพื่อไม่ให้มีการรุกล้ำที่ดินกันนางบัวลอยไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดช่องทางพิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องกว้าง 4 เมตร ให้โจทก์ใช้เป็นทางออกจากที่ดินโจทก์เข้าสู่ที่ดินของนางบัวลอย เพื่อใช้ที่ดินส่วนที่นางบัวลอยและบริวารใช้เป็นทางผ่านออกสู่ถนนสันติสุข
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า นางบัวลอยมารดาจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17460 เดิมนางปั๋นยายจำเลยแบ่งขายที่ดินให้แก่นายบุญช่วย ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.14 และนางบัวลอยแบ่งขายที่ดินให้แก่นางอัมพร นายวิเวศน์ และโจทก์ซึ่งที่ดินแบ่งขายทั้งสามแปลงดังกล่าวไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะและได้ใช้ที่ดินของนางบัวลอยส่วนที่เป็นถนนเป็นทางผ่านเข้าออกสู่ถนนสันติสุขทางสาธารณะตามแผนผังที่ดินเอกสารหมาย จ.15และภาพถ่ายหมาย ล.2 สำหรับโจทก์เคยใช้ทางเข้าออกผ่านที่ดินของนายบุญช่วยไปยังที่ดินของนางบัวลอยส่วนที่เป็นถนนออกสู่ถนนสันติสุขทางสาธารณะอีกทอดหนึ่ง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ทางพิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นทางจำเป็นตามกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยมีสิทธิสร้างรั้วในที่ดินพิพาทเพื่อกั้นอาณาเขตที่แน่นอน การรื้อรั้วทำให้จำเลยเสียหายอีกทั้งโจทก์มีทางเข้าออกผ่านที่ดินของนายบุญช่วยอยู่แล้ว โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350บัญญัติว่า “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะไซร้ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 17462แบ่งแยกมาจากที่ดินของนางบัวลอย อีกทั้งได้ความว่าที่ดินของโจทก์ดังกล่าวมีที่ดินของผู้อื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ แม้จะปรากฏว่าโจทก์สามารถเข้าออกผ่านที่ดินของนายบุญช่วยก็ดี แต่การเข้าออกผ่านที่ดินของนายบุญช่วยยังจะต้องเข้าออกผ่านที่ดินของนางบัวลอยส่วนที่เป็นถนนอีกทอดหนึ่ง การผ่านที่ดินของนายบุญช่วยเป็นเรื่องของความยินยอมหาใช่สิทธิตามกฎหมายไม่ กรณีต้องถือว่าที่ดินของโจทก์ไม่มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ตามกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เปิดช่องทางพิพาทเป็นทางเข้าออกถึงแม้จะต้องรื้อรั้วเฉพาะส่วนที่ปิดช่องทางเข้าออกของโจทก์ออก แต่ก็เพื่อให้ที่ดินโจทก์เชื่อมต่อกับทางพิพาท ซึ่งจำเลยเองก็ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกถนนสาธารณะอยู่แล้ว จึงน่าจะทำให้จำเลยเสียหายน้อยที่สุด โจทก์ย่อมมีสิทธิกระทำได้ตามกฎหมาย และไม่ถือว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริตดังที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด
พิพากษายืน