คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4801/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อายุความฟ้องร้องในเรื่องลาภมิควรได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ว่า ในเรื่องลาภมิควรได้นั้นท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น ซึ่งหมายความว่า ถ้าผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเกิน 1 ปี แล้วถึงแม้จะยังไม่พ้น 10 ปี นับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น หรือถ้าผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนยังไม่เกิน 1 ปี แต่ก็พ้น 10 ปี นับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น ก็ห้ามมิให้ผู้เสียหายฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเช่นกันโจทก์บรรยายฟ้องว่า น.ส.3 ของจำเลยได้มีการออกทับที่ดินมีโฉนดของผู้อื่นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2525 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันทำสัญญาขายให้แก่โจทก์ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาไม่สุจริตมาแต่เริ่มแรก การกระทำของจำเลยเป็นการขายที่ดินให้แก่โจทก์โดยไม่สุจริตและไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ได้รับว่าสิทธิที่จะเรียกคืนเงินค่าซื้อที่ดินจากจำเลยของโจทก์ได้มีขึ้นตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายคือวันที่ 15 มกราคม 2525 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์2535 จึงพ้น 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2535 จำเลยได้ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้โจทก์ในราคา 6,560 บาทเพื่อกรมชลประทานใช้ประโยชน์ในการทำคันกั้นน้ำเค็ม กรมชลประทานจะทำการจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินให้แก่ราษฎรที่ถูกเวนคืนในเขตชลประทานคันกั้นน้ำเค็ม รายของนายไกรฤกษ์ ตียวัฒนฤกษ์ ตามที่ดินโฉนดเลขที่ 2045 เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานแล้วปรากฎว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวออกทับที่ดิน น.ส.3 ของจำเลยและเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินตรวจสอบหลักฐานโดยละเอียดแล้วพบว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวออกเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2461 (ร.ศ.137) ส่วน น.ส.3 ของจำเลยออกเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2525 ซึ่งเป็นวันเดียวกับการทำสัญญาขายที่ดินให้โจทก์แสดงว่าจำเลยมีเจตนาไม่สุจริตมาแต่เริ่มแรก จำเลยขายที่ดินให้โจทก์โดยไม่มีมูลเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 6,560 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2535พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์มีสิทธิเรียกเงินคืน และนับแต่จ่ายเงินค่าเวนคืนก็พ้นกำหนด 10 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2525 จำเลยได้ขายที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 7ตำบลปึกเตียน (หนองจอก) อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่1 ไร่ 2 งาน 56 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา 6,560 บาท โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา วันที่ 29 พฤศจิกายน 2532เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีตรวจสอบหลักฐานแล้วพบว่าที่ดินตาม น.ส.3 ของจำเลยออกทับที่ดินโฉนดเลขที่ 2045 ของ นายไกรฤกษ์ตียวัฒนฤกษ์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีได้มีหนังสือแจ้งให้กรมชลประทานทราบเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2533 โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2535 ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่อายุความฟ้องร้องในเรื่องลาภมิควรได้นี้ได้มีบัญญัติไว้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ว่า “ในเรื่องลาภมิควรได้นั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น” ตามบทบัญญัติมาตรา 419 ดังกล่าวนี้หมายความว่า ถ้าผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเกิน 1 ปีแล้วถึงแม้จะยังไม่พ้น 10 ปี นับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นหรือถ้าผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนยังไม่เกิน 1 ปี แต่ก็พ้น 10 ปี นับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น ก็ห้ามมิให้ผู้เสียหายฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเช่นกัน โจทก์บรรยายฟ้องว่า น.ส.3 ของจำเลยได้มีการออกเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2525 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันทำสัญญาขายให้แก่โจทก์ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาไม่สุจริตมาแต่เริ่มแรก การกระทำของจำเลยเป็นการขายที่ดินให้แก่โจทก์โดยไม่สุจริตและไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ก็ได้รับว่าสิทธิที่จะเรียกคืนเงินค่าซื้อที่ดินจากจำเลยของโจทก์ได้มีขึ้นตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย คือวันที่ 15 มกราคม 2525 ที่โจทก์ฎีกาว่าถ้าโจทก์จะมีสิทธิในการเรียกเงินคืนก็ควรนับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2533อันเป็นวันที่เจ้าพนักงานที่ดินรายงานเรื่อง น.ส.3 ของจำเลยออกทับที่ดินมีโฉนดของผู้อื่นให้กรมชลประทานทราบ นั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะให้รับฟังได้ จากข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยุติตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่า สิทธิที่จะเรียกคืนเงินค่าซื้อที่ดินจากจำเลยของโจทก์ได้มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2525 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2535 จึงพ้น 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว
พิพากษายืน

Share