แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำขอประนอมหนี้ประกอบคำร้องแก้ไขคำขอประนอมหนี้ของโจทก์ไม่มีข้อความระบุให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทคืนโจทก์คงมีข้อความเพียงว่าเมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ข้อ1แล้วขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการยึดทรัพย์สินของโจทก์คืนให้โจทก์ไปเท่านั้นและตามบันทึกรายงานการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก็สรุปใจความได้ว่าโจทก์จะขอไถ่ถอนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากจำเลยภายหลังเมื่อโจทก์ได้ชำระเงินต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามคำขอประนอมหนี้ครบถ้วนแล้วไม่ได้มีความหมายถึงขนาดว่าจำเลยยินยอมสละที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทอันเป็นหลักประกันทั้งไม่ใช่วิสัยที่จำเลยจะพึงกระทำเช่นนั้นเพราะจำเลยในฐานะผู้รับจำนองสามารถบังคับเอาจากทรัพย์จำนองได้อยู่แล้วจำเลยยังคงมีสิทธิเหนือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทในฐานะผู้รับจำนอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์จดทะเบียนจำนองแก่จำเลยในวงเงิน 7,500,000 บาท ต่อมาปี 2530ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นบุคคลล้มละลายในคดีหมายเลขแดงที่ ล.569/2530 จำเลยยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีหลักประกัน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้จำเลยได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 44,578,936.72 บาท โจทก์ยื่นคำขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายต่อเจ้าหนี้รวมทั้งจำเลยด้วยโดยจะชำระหนี้ให้ร้อยละ15 ของจำนวนหนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบกับคำขอประนอมหนี้ของโจทก์ โจทก์นำเงินที่จะต้องชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้มอบให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อชำระให้แก่เจ้าหนี้รวมทั้งจำเลยเรียบร้อยแล้ว ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า หลังจากศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นบุคคลล้มละลายแล้วจำเลยยื่นคำขอรับชำระหนี้อย่างเจ้าหนี้มีประกันจากที่ดินทั้ง 3 แปลง ต่อมาโจทก์ขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายต่อจำเลยโดยจะชำระหนี้ในส่วนที่มีหลักประกัน 14,000,000 บาท ซึ่งมีบุคคลภายนอกชำระให้แทน เมื่อจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้วโจทก์จึงจะให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้ง 3 แปลงและโจทก์ตกลงจะชำระหนี้ให้จำเลยในคดีล้มละลายร้อยละ 15 จำเลยได้ตกลงตามที่โจทก์เสนอ ต่อมามีบุคคลภายนอกสั่งจ่ายเช็คจำนวน14,000,000 บาท แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยจึงไม่ต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้โจทก์โฉนดที่ดินทั้ง 3 แปลง ไม่อยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยจึงไม่สามารถจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำขอประนอมหนี้ของโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีข้อความระบุให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทคืนโจทก์ คงมีเพียงข้อความว่าเมื่อโจทก์ชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ข้อ 1. แล้ว ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนการยึดทรัพย์สินของโจทก์คืนให้โจทก์ไปเท่านั้น แม้ตามบันทึกรายงานการประชุมตามที่ยกขึ้นกล่าวข้างต้นจะมีความกล่าวถึงการไถ่ถอนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทไว้อยู่สองแห่ง แต่ก็สรุปเป็นใจความได้ว่าโจทก์จะขอไถ่ถอนจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากจำเลยภายหลัง เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามคำขอประนอมหนี้ครบถ้วนแล้ว ไม่ได้มีความหมายถึงขนาดว่าจำเลยยินยอมสละที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทอันเป็นหลักประกัน ทั้งไม่ใช่วิสัยที่จำเลยจะพึงกระทำเช่นนั้น เพราะจำเลยในฐานะผู้รับจำนอง สามารถบังคับเอาจากทรัพย์จำนองได้อยู่แล้ว ซึ่งโจทก์เองก็ตระหนักดีว่าไม่มีการสละหลักประกันดังที่โจทก์ขอความอนุเคราะห์เรื่องการประนอมหนี้ไปยังจำเลยล้วนเป็นข้อที่แสดงชัดอยู่ในตัวว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทยังติดภาระจำนองอยู่จนกว่าบุคคลภายนอกจะได้ชำระหนี้แก่จำเลยแทนโจทก์ เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานตามที่กล่าวข้างต้นประกอบกันแล้วฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้ชำระหนี้จำนองแก่จำเลยครบถ้วนแล้วตามฟ้องโจทก์ จำเลยยังคงมีสิทธิเหนือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทในฐานะผู้รับจำนองอยู่
พิพากษายืน