คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1042/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามสัญญาประกันภัยฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่ชนรถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้ใช้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยของโจทก์ไปแล้วนั้นเป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งมีอายุความ2ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882เหตุวินาศภัยเกิดเมื่อวันที่2มีนาคม2534โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่1มีนาคม2536คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา223ทวิเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความแล้วจำเลยจำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เช่นนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง200บาทตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง1ข้อ2(ก)เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมาจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 3 ค-7584 กรุงเทพมหานคร ไว้จากบริษัทศรีกรุงวัฒนาจำกัด ในระหว่างระยะเวลาประกันคือวันที่ 2 มีนาคม 2534 นายแสวงแผ่วสะอาด ลูกจ้างหรือตัวแทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดสื่อบริการขนส่งได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-0641 กรุงเทพมหานครของห้างหุ้นส่วนจำกัดสื่อบริการขนส่งซึ่งเอาประกันภัยไว้แก่จำเลย โดยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายรวม 20,016 บาท โจทก์ได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วเมื่อวันที่25 ตุลาคม 2534 จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาฟ้องเรียกจากจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน70-0641 กรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะเกิดเหตุยังอยู่ในระหว่างการคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยที่จำเลยต้องรับผิดชอบพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์และยกข้อต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะเป็นเรื่องละเมิด และโจทก์ฟ้องคดีเกินระยะเวลา1 ปีแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 1 ปีแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าฟ้องโจทก์ระบุว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยซึ่งได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อวินาศภัยแก่ผู้เอาประกันภัยของตนไปแล้ว และรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยของตนดังกล่าวเป็นฐานในการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยของผู้ก่อวินาศภัย ซึ่งจำเลยต้องรับผิดชดใช้แทนตามสัญญา มูลคดีที่โจทก์ฟ้องดังกล่าวนี้เป็นกรณีประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ซึ่งมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 ซึ่งเหตุวินาศภัยเกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2534 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2536 ยังไม่พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์ฟังขึ้น อนึ่ง คดีนี้โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความแล้วจำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เช่นนี้ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก) เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ค่าขึ้นศาลที่ชำระเกินมาในชั้นฎีกาให้คืนแก่โจทก์

Share