คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ข้อห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ต้องใช้บังคับแก่การฎีกาทั้งในประเด็นแห่งคดีตลอดจนในเรื่องอื่น ๆ อันเป็นสาขาของคดีด้วย ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ซึ่งพอแปลได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายที่จำเลยนำสินค้าปลอมไปลวงขายให้โจทก์เป็นเงิน 58,780 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 58,780 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาวันที่ 27 กันยายน 2542 จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การอ้างว่า จำเลยเข้าใจผิดว่าสามารถยื่นคำให้การได้ในวันที่ศาลนัดชี้สองสถานหรือนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับจำเลยยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 58,780 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 55,00 บาท นับแต่วันถัดวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กรกฎาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง และข้อห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวต้องใช้บังคับแก่การฎีกาทั้งในประเด็นแห่งคดีตลอดจนในเรื่องอื่น ๆ อันเป็นสาขาของคดีด้วยที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิยื่นคำให้การภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ซึ่งพอแปลได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”

พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาแก่จำเลยไปทั้งหมด

Share