คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 ของศาลชั้นต้น แต่ น. ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 และพิพากษาลงโทษ น. ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง และรถจักรยานยนต์ของกลาง ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีนี้ คดีนี้จึงเป็นคดีเดียวกันกับคดีดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อ น. ในเรื่องซื้อขายเมทแอมเฟตามีนและให้ น. นำรถจักรยานยนต์ไปติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยและรถจักรยานยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ไม่อาจริบได้ แม้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบทรัพย์ดังกล่าวตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 แต่เมื่อฟังไม่ได้ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ จะต้องคืนแก่เจ้าของ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และมีอำนาจสั่งคืนแก่เจ้าของได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 49 ประกอบมาตรา 186 (9), 215 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน แต่ให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยและรถจักรยานยนต์ของกลางแก่จำเลย
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 ของศาลชั้นต้น แต่นายนพดลหรือดล จำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 และพิพากษาลงโทษนายนพดล จำเลยที่ 1 ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง และรถจักรยานยนต์ของกลาง ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวเป็นคดีนี้ คดีนี้จึงเป็นคดีเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 ของศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยและรถจักรยานยนต์ของกลางแก่จำเลยนั้นเกินคำขอและขัดแย้งกับคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 ของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้ริบโทรศัพท์เคลื่อนที่และรถจักรยานยนต์ของกลางหรือไม่ เมื่อโจทก์ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจประจำกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดแพร่ ร่วมกันวางแผนล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน 95 เม็ด จากนายนพดล ต่อมาร้อยตำรวจโท สงคราม กับพวกจับจำเลยได้ที่หน้าบ้าน กล่าวหาว่าร่วมกับนายนพดลมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ซึ่งข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างนายนพดลกับจำเลยก่อนเกิดเหตุนั้นยังไม่อาจรับฟังได้โดยแน่แท้ว่าเป็นการติดต่อกันในเรื่องซื้อขายเมทแอมเฟตามีน พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยร่วมกับนายนพดลกระทำความผิดตามฟ้อง เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อนายนพดลในเรื่องซื้อขายเมทแอมเฟตามีน และรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยให้นายนพดลนำรถจักรยานยนต์ไปติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยและรถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ไม่อาจริบได้ แม้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบทรัพย์ดังกล่าวไว้แล้วในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 ของศาลชั้นต้นก็ตาม แต่เมื่อฟังไม่ได้ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ จะต้องคืนแก่เจ้าของ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 49 ประกอบมาตรา 186 (9), 215 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 เมื่อคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 เดิมเป็นคดีเดียวกัน และศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยมิได้ร่วมกับนายนพดลกระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยและรถจักรยานยนต์ของกลางแก่จำเลยจึงชอบแล้ว และถือไม่ได้ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ขัดแย้งกับคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 233/2554 ของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share