คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญาเช่าซึ่งโจทก์จำเลยทำไว้ต่อกัน แม้ที่ดินพิพาทจะมิใช่ทรัพย์สินของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องผูกพันตามสัญญา แม้จะมีผู้เช่าที่ดินพิพาทคนใหม่จากเจ้าของเดิมบอกกล่าวขับไล่โจทก์จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยก็มิใช่ข้อสำคัญ เพราะกรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาในสัญญาเช่าเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องการพิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินพิพาทหรือผู้เช่าที่ดินพิพาทคนใหม่กับจำเลยผู้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์อีกทั้งเจ้าของที่ดินพิพาทที่เช่าก็มิได้โต้แย้งอำนาจของโจทก์ในการให้จำเลยเช่าที่ดินแต่ประการใด ฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและสิทธิการเช่าจากโจทก์ แล้วผิดนัดชำระค่าเช่าและค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าโจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เช่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 186,420 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 50,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เช่า

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์และไม่มีสิทธิการเช่าหรือสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท จำเลยไม่เคยผิดนัดชำระค่าเช่าและค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหายและค่ากระแสไฟฟ้าจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์และไม่มีสิทธิการเช่าหรือสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท จำเลยไม่เคยผิดนัดชำระค่าเช่าและค้างชำระค่ากระแสไฟฟ้าตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหายและค่ากระแสไฟฟ้าจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและฐานรากสิ่งปลูกสร้างอาคารเลขที่ 542/353-371 ถนนรัชดาภิเษก แขวงลาดยาวเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง จำนวน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาทแก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เช่า นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติฟังได้ตามที่คู่ความรับและไม่โต้เถียงกัน อีกทั้งไม่อุทธรณ์ฎีกาต่อมาว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ แล้วผิดนัดชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าพร้อมกับแจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่เช่า แต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม ยังคงอยู่ในที่เช่าต่อมา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทกฤตวิณิชย์ ลิสซิ่ง จำกัด เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้บอกกล่าวขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทพร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยตรง อีกทั้งบอกกล่าวให้โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทด้วย สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทที่โจทก์มีอยู่เดิมย่อมระงับไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยตามสัญญาเช่าซึ่งโจทก์จำเลยทำไว้ต่อกัน แม้ที่ดินพิพาทจะมิใช่ทรัพย์สินของโจทก์ แต่เมื่อจำเลยยอมทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องผูกพันตามสัญญา แม้จะมีผู้เช่าที่ดินพิพาทคนใหม่จากเจ้าของเดิมบอกกล่าวขับไล่โจทก์จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกาก็มิใช่ข้อสำคัญ เพราะกรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาในสัญญาเช่าเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องการพิพาทกันระหว่างเจ้าของที่ดินพิพาทหรือผู้เช่าที่ดินพิพาทคนใหม่กับจำเลยผู้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ในคดีนี้ อีกทั้งเจ้าของที่ดินพิพาทที่เช่าก็มิได้โต้แย้งอำนาจของโจทก์ในการให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทแต่ประการใดฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกเก็บค่าเสียหายจากจำเลยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share