แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนในคดีเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่1น่าเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริงชั้นจับกุมจำเลยที่1ให้การรับสารภาพและชั้นสอบสวนจำเลยที่1ให้การว่าในชั้นจับกุมจำเลยที่1ยอมรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่2ขายเมทแอมเฟตามีนโดยแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งเป็นกำไรคนละครึ่งโดยมิได้โต้แย้งว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมไม่ถูกต้องบันทึกจับกุมดังกล่าวสอดคล้องกับพฤติการณ์ของจำเลยที่1ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ร่วมตรวจค้นจับกุมจึงสนับสนุนกันให้พยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2537 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 49,200 เม็ด น้ำหนัก3,300 กิโลกรัม และมีปริมาณเมทแอมเฟตามีนเกินกว่า 0.500 กรัมตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลลำพยา อำเภอเมืองนครปฐมจังหวัดนครปฐม เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวเป็นของกลางของกลางเหลือจากการตรวจวิเคราะห์3.2 กิโลกรัม ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 5, 6, 11, 13 ทวิ, 59,62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2535 มาตรา 3, 5, 9, 13, 15,16 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 51 (พ.ศ. 2536) และประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 85 (พ.ศ. 2536) ลงวันที่19 มกราคม 2536 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ(ที่ถูก มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง) 89, 62 วรรคหนึ่ง และ 106 ทวิการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามมาตรา 62 วรรคหนึ่งและ 106 ทวิจำคุกคนละ 20 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุม จำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมสอบสวน และพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสี่ส่วนและลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 15 ปีจำคุกจำเลยที่ 2 กำหนด 10 ปีของกลางริบ
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าตามวันเวลาสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 49,200 เม็ด น้ำหนัก3,300 กิโลกรัม มีปริมาณเมทแอมเฟตามีนรวม 89,342 กรัม ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ร้อยตำรวจเอกวิวัฒน์ ทองอยู่ พยานโจทก์ผู้ตรวจค้นจับกุมจำเลยทั้งสองเบิกความว่า ได้ร่วมกับพวกค้นบ้านที่เกิดเหตุพบจำเลยทั้งสองระหว่างตรวจค้นต่อหน้าจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ขอเข้าห้องน้ำแล้วจำเลยที่ 1 ออกจากห้องไปสักครู่พยานกับพวกตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ใต้เตียงนอน จึงรีบสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจที่ไปด้วยควบคุมจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังวิ่งหนีเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับจำเลยที่ 1 ได้ และนำไปให้พันตำรวจโทชวน ชิตประเสริฐ สอบถามจำเลยที่ 1 ให้การว่ามีคนนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาส่งให้ เมื่อขายแล้วเอากำไรแบ่งกับจำเลยที่ 2 ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมเอกสารหมาย จ.1 พันตำรวจโทชวน พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งร่วมตรวจค้นจับกุมจำเลยทั้งสอง เบิกความทำนองเดียวกัน ร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ แสวงสุขพนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.4 ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานจำเลยว่าวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางซุกซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ให้การว่าเพื่อนจำเลยที่ 2 นำมาฝากไว้ จำเลยที่ 1 ไปสถานีตำรวจแทนมารดาเจ้าพนักงานตำรวจสอบถามว่าร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำผิดหรือไม่จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ เจ้าพนักงานตำรวจได้ให้จำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อไว้ในกระดาษเปล่า 1 ชื่อ ตามเอกสารหมาย จ.4 เห็นว่าร้อยตำรวจเอกวิวัฒน์ พันตำรวจโทชวนและร้อยตำรวจเอกสมเกียรติเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 น่าเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริงชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมเอกสารหมาย จ.1 และชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การไว้ตามบันทึกคำให้การผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.4 ว่าในชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ขายเมทแอมเฟตามีนโดยแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งเป็นกำไรคนละครึ่ง โดยมิได้โต้แย้งว่าคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมไม่ถูกต้องบันทึกจับกุมดังกล่าวสอดคล้องกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้ร่วมตรวจค้นจับกุมจึงสนับสนุนกันให้พยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าไม่ได้เป็นผู้รู้เห็นกับจำเลยที่ 2 และลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน