แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างโดยผิดกฎหมายของ จำเลยซึ่งมีความหมายชัดแจ้งอยู่ในตัวว่าโจทก์ยังมีสภาพไม่ขาด จากการเป็นลูกจ้างของจำเลย ให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยอาศัยเหตุจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด จึงมิใช่ฟ้องโดยอาศัยเหตุและมีคำขอให้บังคับจำเลยเป็นอย่างเดียวกัน กับคดีก่อน ทั้งคำขอให้จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าว ในคดีนี้ก็ไม่อาจขอรวมกันมาในคดีก่อนได้ เพราะเป็นการขัดแย้งกันกับ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด และไม่บอกกล่าวล่วงหน้าขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณาโจทก์จำเลยรับกันว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีหมายเลขดำที่ 4593/2533 หมายเลขแดงที่ 7648/2533 ของศาลแรงงานกลาง มูลเหตุในการเลิกจ้างเป็นเหตุเดียวกัน แต่โจทก์มิได้เรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในคดีดังกล่าวซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ปรากฏว่าคดีก่อนคดีสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 7648/2533 ของศาลแรงงานกลาง โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานอะไหล่ทีวี และเป็นกรรมการลูกจ้าง เมื่อวันที่ 14 กันยายน2533 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ขออนุญาตจากศาลแรงงานกลางก่อนเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 52 ขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์นับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นกรรมการลูกจ้างแม้โจทก์จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการลูกจ้าง ก็เป็นการแต่งตั้งที่มิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะเลิกจ้างหรือไม่และจำเลยต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างย้อนหลังแก่โจทก์หรือไม่ แต่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นข้อแรกเพียงข้อเดียวว่า โจทก์ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการลูกจ้างจากสหภาพแรงงานโต๊ะจักรไทยประดิษฐ์ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่ต้องขออนุญาตศาลแรงงาน พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เห็นว่า คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างของจำเลยโดยผิดกฎหมาย ซึ่งมีความหมายชัดแจ้งอยู่ในตัวว่าโจทก์ยังมีสภาพไม่ขาดจากการเป็นลูกจ้างของจำเลย ให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยอาศัยเหตุจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด จึงมิใช่ฟ้องโดยอาศัยเหตุและมีคำขอให้บังคับจำเลยเป็นอย่างเดียวกันกับคดีก่อน ทั้งคำขอให้จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวในคดีนี้ก็ไม่อาจขอรวมกันมาในคดีก่อนได้เพราะเป็นการขัดแย้งกันกับฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยได้…”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.