คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้ามรดกยกที่ดิน ส.ค.1 ให้แก่ จ. บุตรสาว โดยโจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นทายาทไม่ได้ติดตามทวงถามให้ จ. แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ตนแต่กลับปล่อยให้ จ. ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลากว่า 30 ปีถือได้ว่า จ. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวเพียงผู้เดียวเมื่อ จ. ได้มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองตกลงจ่ายเงินให้แสดงว่า จ. ได้เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองตั้งแต่วันทำสัญญาแล้ว การครอบครองของ จ.ย่อมสิ้นสุดลง เมื่อจำเลยทั้งสองยึดถือที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จึงมีสิทธิครอบครองทันทีที่ จ.สละสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายโหล่ รับมรดกที่ดินพิพาทมาจากบิดามารดาของภรรยาและทำกินมา 60 ปีแล้ว ต่อมาตั้งแต่ปี 2479 นายโหล่มอบให้นางจันสีกับนายหุมเป็นผู้ครอบครองทำกินแทน ปี 2502นายโหล่ได้มอบที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 นายสุวรรณและจำเลยที่ 1 ทำกินแทน เมื่อนายโหล่ถึงแก่กรรมลงโจทก์ทั้งเจ็ดยังคงให้จำเลยครอบครองทำกินแทนโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ยื่นเรื่องราวขอรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งเจ็ด ขอให้พิพากษาว่า โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายปีละ 1,200 บาทตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางบุญนางบุญได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายสุวรรณสามีของจำเลยที่ 1และเป็นพี่ชายของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทเป็นเวลา 30 ปีจนถึงปัจจุบันนี้ นายโหล่ไม่เคยเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ไปยื่นคำร้องขอออกน.ส.3 ในที่ดินพิพาท นางจันสี โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ยื่นคำคัดค้านแต่ต่อมาได้มาขอถอนคำคัดค้านเพื่อเป็นการตอบแทนการถอนคำคัดค้านจำเลยทั้งสองจึงมอบเงินให้นางจันสีไป ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายสุทธี ลาน้ำคำ บุตรนายโหล่ นางแผง ลาน้ำคำ ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมโดยอ้างว่ามีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ที่ 2, ที่ 3, ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาท ส.ค.1 มีชื่อนายโหล่เป็นผู้แจ้งการครอบครอง นายโหล่ถึงแก่กรรมตั้งแต่ปี 2503 นายสุวรรณสามีจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ทำกินบนที่ดินพิพาทตั้งแต่นายโหล่มีชีวิตอยู่ และนายสุวรรณถึงแก่กรรมเมื่อปี 2523 ปัจจุบันจำเลยทั้งสองเป็นผู้ครอบครองทำกินบนที่ดินพิพาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4หรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ศาลฎีกาเห็นว่านายโหล่ได้มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองทำกินแทน ต่อมาหลังจากที่นายโหล่ถึงแก่กรรม หากนายโหล่ยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ 2ที่ 3 และที่ 4 กับพี่น้องคนอื่น ๆ ด้วยแล้ว ฝ่ายโจทก์ก็น่าจะติดตามทวงถามให้นางจันสีแบ่งที่ดินพิพาทให้กับพวกตนบ้าง แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์คนใดได้กระทำการดังกล่าว กลับปล่อยให้นางจันสีครอบครองที่ดินพิพาทแต่ผู้เดียวมาเป็นเวลากว่า 30 ปี นับแต่นายโหล่ถึงแก่กรรม และโจทก์เพิ่งมาคัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายโหล่ เมื่อทราบว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยทั้งสองไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินที่มีชื่อนายโหล่เป็นผู้แจ้งการครอบครองไว้ ประกอบกับโจทก์ที่ 6 และที่ 7 เบิกความในทำนองเดียวกันอีกว่า ไม่ทราบความเป็นมาของที่ดินพิพาท และไม่ทราบว่าปัจจุบันใครเป็นผู้ทำกินอยู่บนที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการผิดวิสัยของทายาทเจ้าของทรัพย์ และขัดต่อเหตุผลข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าเมื่อนายโหล่ถึงแก่กรรมได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่นางจันสีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่เพียงผู้เดียว และเมื่อข้อเท็จจริงต่อมาฟังได้ว่าในวันที่ 2 กรกฎาคม 2530 นางจันสีได้มอบที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองตกลงจ่ายเงินให้ 2,000 บาทแสดงว่า นางจันสีได้เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วตั้งแต่วันทำสัญญา การครอบครองของนางจันสีย่อมสิ้นสุดลง เมื่อจำเลยทั้งสองยึดถือที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาจนถึงปัจจุบันจึงมีสิทธิครอบครองทันทีที่นางจันสีสละเจตนาครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378
พิพากษายืน

Share