คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับโฉนดที่ดินในขณะที่มารดาโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดนั้นยังมีชีวิตอยู่มารดาโจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย แม้โจทก์ซึ่งเป็นบุตรเป็นทายาทผู้รับมรดกที่ดินตามโฉนดนั้นเพิ่งทราบการกระทำของจำเลยหลังจากที่มารดาโจทก์ตายแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทราบดีว่านางสุกและโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๔๑๔๕ แล้ว เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๒ จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเจตนาทุจริต ให้จำเลยที่ ๑ นำเอาความที่รู้ดีว่าเท็จ ไปแจ้งทำคำตราสินที่อำเภอเมืองสระบุรี ว่าโฉนดที่ ๔๑๔๕ หายแล้วนำเอาคำตราสินนั้นไปแสดงเป็นหลักฐานเพื่อขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดให้เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๒ เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกใบแทนโฉนดให้เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๒ แล้ว จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินโฉนดดังกล่าวให้จำเลยที่ ๒ ไปในวันเดียวกันและต่อมาเมื่อต้นเดือนเมษายน๒๕๑๒ จำเลยที่ ๒ พาผู้ใหญ่บ้านไปห้ามมิให้โจทก์กับพวกตัดไม้ในที่ดินและจำเลยที่ ๒ ไปร้องต่ออำเภอและแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่านางสุกและนายแดงคนของโจทก์ลักตัดไม้ของจำเลยโดยจำเลยทราบดีว่าไม่มีการทำลายทรัพย์หรือลักทรัพย์ เหตุเกิดที่ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรีจังหวัดสระบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒,๑๗๓, ๑๗๙, ๑๘๐, ๓๔๑, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานแต่โจทก์อ้างบทกฎหมายมาท้ายฟ้องผิดพลาดให้ประทับฟ้องในข้อหาแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โฉนดที่กล่าวถูกขโมยลักไป จำเลยที่ ๑ จึงขอออกใบแทนโฉนดและรับโอนมรดกโดยสุจริต ถูกต้องตามกฎหมายจำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตไม่รู้เห็นเกี่ยวข้องกับข้อหาแจ้งความเท็จ และจำเลยทั้งสองตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘
โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต และพิจารณาแล้วฟังว่า เหตุเรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะนางสุกซึ่งเป็นมารดาโจทก์ยังมีชีวิต นางสุกย่อมเป็นผู้เสียหายเมื่อนางสุกตายกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔, ๕, ๖ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่เป็นผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาพิจารณา คดีได้ความว่าเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๒จำเลยที่ ๑ นำข้อความไปแจ้งต่อนายสวง เจริญวัย ปลัดอำเภอเมืองสระบุรีว่าเมื่อประมาณวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๒ โฉนดเลขที่ ๔๑๔๕ ซึ่งมีชื่อนายบุนนางสะตี บิดามารดา จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หายไปจากตู้เสื้อผ้าวันเดียวกันนั้นมีประกาศของสำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี ๒ ฉบับฉบับหนึ่งใจความว่าจำเลยที่ ๑ ขอออกใบแทนโฉนดเลขที่ ๔๑๔๕อีกฉบับหนึ่งใจความว่า จำเลยที่ ๑ ขอรับมรดกที่ดินตามโฉนดที่ดังกล่าวและนางสุกมารดาโจทก์ตายเมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ ต่อมาวันที่๒๗ มีนาคม ๒๕๑๒ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรีออกใบแทนโฉนดเลขที่ ๔๑๔๕ ให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินตามโฉนดนั้นให้จำเลยที่ ๒ ไปในวันเดียวกัน เห็นว่า แม้รับฟังตามฟ้องโจทก์ว่านางสะตีมารดาจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๑๔๕ และมอบโฉนดนั้นให้นางสุกมารดาโจทก์ และจำเลยที่ ๑ แจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานว่าโฉนดดังกล่าวหายไปก็ตาม แต่ในวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๒ ที่เกิดเหตุนี้นางสุกซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและเป็นผู้ยึดถือโฉนดเลขที่ ๔๑๔๕ ยังมีชีวิตอยู่นางสุกจึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำของจำเลยที่ ๑แต่เมื่อนางสุกตายแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔, ๕, ๖ ไม่ให้อำนาจโจทก์ฟ้องคดีแทนนางสุกได้ แม้โจทก์จะเป็นบุตรและทายาทผู้รับมรดกที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๑๔๕ ของนางสุก และโจทก์เพิ่งทราบการกระทำของจำเลยที่ ๑ หลังนางสุกตาย แต่สิทธิฟ้องคดีอาญาเป็นเรื่องเฉพาะตัวไม่ตกทอดมายังโจทก์ และที่ดินกับโฉนดเลขที่ ๔๑๔๕ ก็เพิ่งจะตกเป็นของโจทก์ภายหลังวันจำเลยที่ ๑ กระทำผิดโจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ที่โจทก์ฟ้องโดยนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙/๒๔๙๒ คดีระหว่าง พนักงานอัยการและพันเอกชิตป.มัธยมจันทร์ กับพวก โจทก์ นายอิดหมิง แซ่เบ๊ กับพวก จำเลยศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share