แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.2497มาตรา 14 ซึ่งห้ามมิให้ผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะเข้าทำการขนส่งในเส้นทางใดในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งประจำทางในเส้นทางนั้น คือผู้ที่ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะ เมื่อปรากฏว่าผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะคือบริษัท พ. จำเลยที่ 1 เป็นเพียงคนขับรถ จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการฝ่ายเดินรถของบริษัท พ. มิใช่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 14
ผู้ที่จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.2497 มาตรา 51 คือผู้ที่ประกอบการรับจัดการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนเมื่อปรากฏว่าการขนส่งคนโดยสารเป็นการประกอบการรับจัดการขนส่งของบริษัทพ.จำเลยที่ 1 เป็นเพียงบุคคลที่ทำหน้าที่ประจำเครื่องอุปกรณ์การขนส่งโดยเป็นคนขับหรือควบคุมเครื่องอุปกรณ์การขนส่ง ส่วนจำเลยที่ 2 ดำเนินการรับจัดการขนส่งแทนบริษัท พ. ในฐานะที่เป็นผู้จัดการฝ่ายเดินรถของบริษัท พ. ดังนี้ จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามมาตรา 51
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2517 เวลาประมาณ 22.30 นาฬิกาจำเลยทั้งสองซึ่งได้รับใบอนุญาตขนส่งสาธารณะ ร่วมกันนำรถยนต์หมายเลขก.ท.พ. 0353 มาทำการขนส่งในเส้นทางระหว่าง เชียงราย – กรุงเทพมหานคร ในลักษณะที่เป็นการแข่งขัน โดยรวบรวมคนโดยสารไว้เพื่อการขนส่งโดยไม่รับอนุญาต ทั้งนี้ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ประจำเครื่องอุปกรณ์การขนส่ง และจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจัดการขนส่งในนามของบริษัทพัฒน์ทัวร์ จำกัด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 14, 51, 59, 60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 14, 51 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้เรียงกระทงลงโทษ ปรับจำเลยทั้งสองตามมาตรา 14, 60 คนละ 2,000 บาท และปรับตามมาตรา 51, 59 คนละ 2,000 บาท รวมปรับคนละ 4,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทขนส่งจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสารระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดเชียงราย บริษัทพัฒน์ทัวร์จำกัดได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งสาธารณะด้วยรถยนต์โดยสารเกิน 7 คน (รับจ้างพิเศษ) ตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งมีข้อกำหนดว่า ผู้รับอนุญาตจะต้องไม่รับจ้างหาผลประโยชน์โดยรับส่งคนโดยสารซึ่งเสียค่าโดยสารเป็นรายตัวบุคคลในถนนที่ได้รับอนุญาตให้มีการเดินรถประจำทางแล้ว หรือในเขตจากถนนนั้น ๆ ไม่เกิน 100 เมตร ในเมื่อยังมีคนโดยสารอยู่ในรถยนต์นั้น เว้นแต่เป็นการรับส่งนักเรียน นักทัศนาจร หรือการรับส่งชั่วครั้งคราว ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากนายทะเบียน และผู้รับอนุญาตต้องไม่ทำการขนส่งเพื่อสินจ้างในเส้นทางใดในลักษณะที่เป็นการแข่งขันเป็นปกติธุระกับผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสารในเส้นทางนั้น และบริษัทสยามโค๊ช จำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งสาธารณะด้วยรถยนต์โดยสารเกิน 7 คน (รับจ้างพิเศษ) ตามเอกสารหมาย จ.15 ซึ่งมีข้อกำหนดเช่นเดียวกับเอกสารหมาย จ.10 รถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ก.ท.พ.0353 เป็นของบริษัทสยามโค๊ช จำกัด จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของบริษัทสยามโค๊ช จำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการและเป็นผู้จัดการฝ่ายเดินรถของบริษัทพัฒน์ทัวร์ จำกัด บริษัทพัฒน์ทัวร์ จำกัด เช่ารถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ก.ท.พ. 0353 ของบริษัทสยามโค๊ช จำกัด มารับส่งคนโดยสารระหว่างจังหวัดเชียงรายกับกรุงเทพมหานครในนามของบริษัทพัฒน์ทัวร์ จำกัด โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2517 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียนก.ท.พ.0353 รับคนโดยสารเพื่อสินจ้างจากจังหวัดเชียงรายไปกรุงเทพมหานครและแวะรับคนโดยสารเพื่อสินจ้างที่อำเภอพะเยาตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์มาถึงหน้าสถานีตำรวจทางหลวงจังหวัดลำปาง ก็ถูกจับ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 14 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะเข้าทำการขนส่งในเส้นทางใดในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งประจำทางในเส้นทางนั้น” จึงเห็นได้ว่าผู้ที่จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 14 คือผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะและผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะรายนี้คือบริษัทพัฒน์ทัวร์ จำกัด มิใช่จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นเพียงคนขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ก.ท.พ. 0353 และจำเลยที่ 2 เป็นเพียงกรรมการและผู้จัดการฝ่ายเดินรถของบริษัทพัฒน์ทัวร์ จำกัด มิใช่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งพ.ศ. 2497 มาตรา 14 และพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 51 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบการรับจัดการขนส่ง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน” จึงเห็นได้ว่า ผู้ที่จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งพ.ศ. 2497 มาตรา 51 คือผู้ที่ประกอบการรับจัดการขนส่งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน แต่ปรากฏว่าการขนส่งคนโดยสารรายนี้เป็นการประกอบการรับจัดการขนส่งของบริษัทพัฒน์ทัวร์ จำกัด จำเลยที่ 1 เป็นเพียงบุคคลที่ทำหน้าที่ประจำเครื่องอุปกรณ์การขนส่งโดยเป็นคนขับหรือควบคุมเครื่องอุปกรณ์การขนส่งซึ่งพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 34 บัญญัติบังคับไว้โดยเฉพาะแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งพ.ศ. 2497 มาตรา 51 ส่วนจำเลยที่ 2 ดำเนินการรับจัดการขนส่งแทนบริษัทพัฒน์ทัวร์ จำกัด ในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการฝ่ายเดินรถของบริษัทพัฒน์ทัวร์จำกัด จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. 2497 มาตรา 51
พิพากษายืน