คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ จำเลยที่ 1 และบุตรคนอื่น ๆ ปลูกบ้านลงในที่ดินมีโฉนดของบิดามารดาตามที่บิดามารดาอนุญาตและชี้ให้ปลูก โดยบิดามารดามีเจตนายกให้ตั้งแต่วันที่อนุญาตนั้น และต่างได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดตลอดมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ดังนี้ แต่ละคนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตนปลูกบ้านโดยการครอบครองปรปักษ์ ทางพิพาทอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์และบริวารใช้เดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะตั้งแต่แรกโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้เป็นทางภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินส่วนของโจทก์โดยอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1826 เป็นของนายขีดและนางเชยบิดามารดาของโจทก์ และจำเลยที่ 1 เมื่อปี 2507มีทางเดินกว้างประมาณ 2 เมตร ติดต่อตลอดแนวทั้งสี่ด้าน นายขีดนางเชย โจทก์จำเลยที่ 1 และพี่น้องโจทก์ได้ใช้ทางเดินดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะ ต่อมาปี 2508 โจทก์ปลูกบ้านเลขที่ 213/1ในที่ดินทางด้านทิศเหนือ โจทก์และบริวารก็ใช้ทางเดินนั้นตลอดมาในปี 2513 จำเลยที่ 1 ปลูกบ้านเลขที่ 213/2 ลงในที่ดินดังกล่าวเมื่อปี 2524 นางขีดและนางเชยได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์จำเลยที่ 1 และบุตรคนอื่น ๆ รวม 6 คน ปี 2525 บุตรทั้ง 6 คนตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์ออกเป็น 6 โฉนด โดยโจทก์ได้โฉนดเลขที่ 28446ส่วนจำเลยที่ 1 ได้โฉนดเลขที่ 1826 ทางเดินดังกล่าวที่อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1826 ของจำเลยที่ 1 จึงตกอยู่ในภารจำยอมของที่ดินของโจทก์ เพราะโจทก์และบริวารได้ใช้เพื่อออกสู่ถนนสาธารณะติดต่อกันมาเป็นเวลา 18 ปี โดยสงบเปิดเผย ก่อนที่ดินจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 หลังจากที่ดินแปลงนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1แล้วโจทก์และบริวารก็ยังคงใช้ทางเดินในที่ดินของจำเลยที่ 1 อยู่ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ถึง 25 ตุลาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้สร้างรั้วคอนกรีต โดยจำเลยที่ 2 รู้เห็นยินยอมลงในเขตที่ดินโฉนดที่ 1826ของจำเลยที่ 1 กับที่ดินโฉนดที่ 28446 ของโจทก์จากทิศเหนือลงมาสู่ทางทิศใต้และสร้างรั้วสังกะสีต่อจากรั้วคอนกรีตเข้าไปยังลำกระโดงสาธารณะ และจำเลยทั้งสองห้ามมิให้โจทก์และบริวารของโจทก์ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อรั้วคอนกรีตของจำเลยทั้งสองตรงที่ผ่านทางเดินอันเป็นภารจำยอมระหว่างแนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 28446 ของโจทก์กับโฉนดที่ดินเลขที่ 1826 ของจำเลยที่ 1 ออกไปให้หมดซึ่งต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ให้โจทก์และบริวารของโจทก์มีสิทธิเดินผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 1826 ของจำเลยที่ 1 ตามทางเดินด้านติดแนวเขตทิศเหนือและด้านติดแนวเขตทิศตะวันออกตลอดแนวเขตที่ดินซึ่งต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร ห้ามจำเลยทั้งสองกระทำการใด ๆอันเป็นการขัดขวางในการที่โจทก์และบริวารของโจทก์จะใช้สิทธิในการเดินผ่านที่ดินดังกล่าว และขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินกว้าง2 เมตร ยาวตลอดติดแนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือและยาวตลอดติดแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินโฉนดเลขที่ 1826 ตกอยู่ในภารจำยอม(ทางเดิน) ของที่ดินโฉนดเลขที่ 28446 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันไปจดทะเบียนภารจำยอม (ทางเดิน) ให้แก่โจทก์ โดยโจทก์ยินยอมเสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2เฉพาะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 1826 แต่จำเลยที่ 1 ได้รับโอนกรรมสิทธิ์โดยการยกให้โดยเสน่หาจากนายขีด และนางเชยซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 และมิได้ยกให้เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ก่อสร้างรั้วคอนกรีต เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1826 ดังกล่าวเป็นของนายขีดและนางเชย เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2524 นายขีดและนางเชยได้ยกที่ดินดังกล่าวให้แก่บุตรทั้งหกคนถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2525 ทั้งหกคนได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินออกเป็น6 โฉนด และแยกกันครอบครองเป็นสัดส่วน ตอนที่ที่ดินยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนายขีดและนางเชยอยู่นั้น นายขีดและนางเชยได้ปลูกบ้านเลขที่ 213 เพื่ออยู่อาศัยทางทิศเหนือมุมตะวันตก เมื่อจะออกสู่ถนนสาธารณะต้องเดินไปทางทิศตะวันตกที่ดินแปลงดังกล่าวมิได้มีทางเดินเพื่อเดินออกถนนสาธารณะทางด้านทิศตะวันออกผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1เมื่อปี 2508 โจทก์ได้ปลูกบ้านเลขที่ 213/1 ลงในที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศเหนือโดยอาศัยสิทธิของนายขีดและนางเชยเจ้าของที่ดินการเดินเข้าออกของโจทก์และบริวารก็อาศัยสิทธิของนายขีดและนางเชย แม้จะเดินผ่านเกิน 10 ปี โจทก์ก็ไม่ได้สิทธิเป็นทางภารจำยอม และนับแต่โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินเป็นสัดส่วนเมื่อปี 2525 โจทก์และบริวารเดินเข้าออกถนนสาธารณะก็อาศัยเดินทางทิศตะวันตก มิได้เดินทางทิศเหนือและทางทิศตะวันออกผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 หรือหากโจทก์และบริวารเดินผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 ก็ตามแต่ก็เดินโดยอาศัยและถือวิสาสะ ทั้งยังเดินผ่านไม่ถึง 10 ปีนับแต่แบ่งแยกครอบครองเป็นสัดส่วน ทางเดินจึงไม่ตกเป็นภารจำยอมจำเลยที่ 1 ได้สร้างรั้วคอนกรีตในที่ดินของจำเลยที่ 1 แต่โจทก์และบริวารก็มีทางเดินออกถนนสาธารณะได้ไม่ได้รับความเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินกว้าง 2 เมตร ยาวตลอดติดแนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือและยาวตลอดติดแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 1826 ตำบลบางขุนศรี (บางเสาธง)อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ตกอยู่ในภารจำยอมของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 28446 ตำบลบางขุนศรี (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันไปจดทะเบียนเป็นภารจำยอมดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามกฎหมายหรือตามระเบียบของทางราชการหากมี หากจำเลยทั้งสองฝ่าฝืนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาจดทะเบียนภารจำยอมดังกล่าวแทนต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อรั้วคอนกรีตตรงที่ผ่านทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมระหว่างแนวเขตที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 28446 ของโจทก์ กับที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 1826 ของจำเลยที่ 1 ออกไปให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร และให้โจทก์และบริวารมีสิทธิเดินผ่านที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 1826 ของจำเลยตามที่ 1 ตามทางเดินด้านติดแนวเขตทิศเหนือและด้านติดแนวเขตทิศตะวันออก ตลอดแนวเขตที่ดินซึ่งมีความกว้างไม่น้อยกว่า 2 เมตร
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าทางเดินพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์ปลูกบ้านเลขที่ 213/1 ลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 1826 เมื่อปี 2508 โจทก์และครอบครัวเข้าไปอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจำเลยที่ 1 ปลูกบ้านเลขที่ 213/2 ลงในที่ดินโฉนดเลขที่ 1826เมื่อปี 2513 จำเลยทั้งสองได้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมา หลังจากนายขีดและนางเชยอนุญาตให้โจทก์จำเลยที่ 1 และลูกอีก 4 คนปลูกบ้านแล้ว นายขีดและนางเชยกับลูกแต่ละคนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกันเลย ลักษณะดังกล่าวนี้ถือได้ว่านายขีดและนางเชยมีเจตนาจะยกที่ดินตรงที่โจทก์ จำเลยที่ 1และลูกอีก 4 คนปลูกบ้านให้มาตั้งแต่วันที่อนุญาตให้ปลูกบ้านแล้วดังจะเห็นได้ว่าหลังจากมีการแบ่งแยกโฉนดให้ลูกทั้ง 6 คน ก็รังวัดแบ่งแยกโฉนดตามบริเวณบ้านที่ลูกแต่ละคนปลูกบ้านนั่นเอง การที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินที่ปลูกบ้านของตนตลอดมาจนกระทั่งถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2524 ซึ่งเป็นวันที่นายขีดและนางเชยยกที่ดินให้จึงเป็นการครอบครองโดยความสงบ และเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว โจทก์และจำเลยที่ 1 ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1826 บริเวณที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ปลูกบ้านอยู่อาศัยโดยการครอบครองปรปักษ์ถึงแม้ว่าที่ดินส่วนของโจทก์กับส่วนของจำเลยที่ 1 จะยังอยู่ในโฉนดเดียวกัน แต่ก็ฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 แยกครอบครองคนละแปลงเป็นส่วนสัด ทางพิพาทอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์และบริวารใช้เดินผ่านเข้าออกตั้งแต่ปี 2508 จนกระทั่งวันที่ 21ตุลาคม 2529 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้เป็นทางภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว ย่อมตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินส่วนของโจทก์โดยอายุความตามกฎหมายแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิปิดกั้น ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share