แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เพราะไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการขาดนัดพิจารณาของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นไปโดยจงใจ และโจทก์นำดอกเบี้ยหรือเบี้ยปรับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมเข้ากับต้นเงินเป็นทุนทรัพย์ในคำฟ้อง จึงตกเป็นโมฆะ ฎีกาของจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้และบังคับจำนอง จำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 3,021,467.54 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา บริษัทสินทรัพย์พาลาภ จำกัด ผู้ร้องยื่นคำขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ในคดีนี้เพื่อดำเนินคดีแก่จำเลยต่อไป ตามพระราชกำหนดบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 มาศาลวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 และลงลายมือชื่อทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว แต่ไม่มาศาล จึงจงใจขาดนัดพิจารณา ทั้งจำเลยที่ 1 ได้แถลงสละประเด็นข้อต่อสู้ตามคำให้การทั้งหมดโดยติดใจขอให้ศาลวินิจฉัยแต่เพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด ดังนั้น แม้มีการพิจารณาใหม่ก็ไม่ทำให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง (ที่ถูกต้องทำเป็นอุทธรณ์)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เพราะไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การขาดนัดพิจารณาของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นไปโดยจงใจ และโจทก์นำดอกเบี้ยหรือเบี้ยปรับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมเข้ากับต้นเงินเป็นทุนทรัพย์ในคำฟ้อง จึงตกเป็นโมฆะ ถ้าศาลได้วินิจฉัยข้อกฎหมายในส่วนนี้จะทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ขอให้ศาลฎีกาอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ถือไม่ได้ว่าเป็นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 มาเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 1 คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ