คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลชั้นต้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การพิจารณาว่าคดีใดจะอุทธรณ์ได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นอุทธรณ์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อ แล่นมาตามถนนสายสำรอง-ท่ามะกา บ่ายโฉมหน้าไปทางอำเภอท่ามะกาเข้าสู่ทางโค้งและใกล้ทางแยกตัดกับถนนดังกล่าว ซึ่งในขณะนั้นจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อแล่นออกมาจากทางแยกของถนนดังกล่าวเลี้ยวเข้าสู่ช่องทางเดินรถของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองได้ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถที่จำเลยทั้งสองขับเกิดการเฉี่ยวชนกันขึ้น ทำให้รถที่จำเลยทั้งสองขับมาได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่ตำบลท่าตะคร้อ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 157 ให้ปรับ 1,000 บาทไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและพิพากษาลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 157 ให้ปรับหนึ่งพันบาท จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า เหตุรถยนต์ชนกันมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 อันเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษปรับเกินกว่าห้าร้อยบาทจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2532 ภายหลังจากพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2532 ใช้บังคับประกอบด้วยพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 ที่แก้ไขแล้ว ดังนั้นการพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 จะอุทธรณ์ได้หรือไม่ต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นอุทธรณ์ ปรากฏว่าขณะจำเลยที่ 2ยื่นอุทธรณ์ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 4)พ.ศ. 2532 มาตรา 3 บัญญัติว่า “ในคดีอาญาห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแขวงในปัญหาข้อเท็จจริง เว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้ ให้จำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้

ฯลฯ
(4) จำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินหนึ่งพันบาท”
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลยที่ 2เพียงหนึ่งพันบาทอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ชอบแล้วฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share