คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยก่อสร้างรั้วรุกล้ำที่ดินพิพาทของโจทก์ ก็ไม่เป็นผลดีแก่คดีของโจทก์เพราะเป็นการแจ้งความภายหลังที่กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้ตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่าไม่ได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ หากรุกล้ำจำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่รุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่รุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ โดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้งและเสียค่าขึ้นศาลมาก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ก็เพียงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์เท่านั้น ศาลอุทธรณ์หาได้พิพากษาเกินไปกว่า หรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ไม่
โจทก์ได้รับการยกที่ดินให้และได้รับมรดกจาก ก. ย. และ ส.โดยมิได้เสียค่าตอบแทน ฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แม้จะยังมิได้จดทะเบียนก็ย่อมยกเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ เพราะแม้โจทก์จะจดทะเบียนโดยสุจริต แต่ก็มิได้เสียค่าตอบแทนแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยรื้อรั้วคอนกรีตส่วนที่รุกล้ำบังหน้าที่ดินของโจทก์โฉนดที่ ๓๐๙๖ และขนขยะมูลฝอย เปลือกมะพร้าว กะลามะพร้าวออกไปจากแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้ง ๒ โฉนด หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ขอให้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนรั้วคอนกรีตที่รุกล้ำและขนขยะมูลฝอย เปลือกมะพร้าวกะลามะพร้าว ออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้ง ๒ โฉนด โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินของโจทก์ทั้ง ๒ โฉนดพร้อมกับของจำเลยให้ถูกต้อง ห้ามมิให้จำเลยขัดขวางการรังวัดตรวจสอบ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๓๔๗๘โดยซื้อมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๒ จำเลยได้ครอบครองมาโดยตลอดโดยเปิดเผยสร้างรั้วสังกะสีทางด้านทิศตะวันออกตามแนวเขตจนจดลำกระโดง และตามลำกระโดงตามแนวเขตทิศเหนือ ทิศตะวันตกและทิศใต้ด้วยวัสดุต่าง ๆเพื่อใช้ประโยชน์จากเนื้อที่ที่ถมโดยเปิดเผยเป็นเวลานับถึงปัจจุบันเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน จำเลยได้ทำรั้วก่ออิฐถือปูนแทนรั้วสังกะสีที่ชำรุดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕โดยทำตามแนวเดิมไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่เคยห้ามปรามจำเลยไม่เคยขัดขวางการรังวัดหรือการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดิน หากการถมวัสดุตามแนวเขตที่ดินตลอดจนการสร้างรั้วของจำเลยได้มีการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินข้างเคียงก็ถือได้ว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ถูกรุกล้ำตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยครอบครองปรปักษ์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีตส่วนที่รุกล้ำบังหน้าที่ดินของโจทก์ โฉนดที่ ๓๐๙๖ และขนขยะมูลฝอยต่าง ๆ ออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามจำเลยมิให้ขัดขวางการรังวัดตรวจสอบที่ดินของโจทก์ คำขออื่นของโจทก์ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพยานจำเลยมีน้ำหนักยิ่งกว่าพยานโจทก์น่าเชื่อว่าจำเลยถือว่าลำกระโดงด้านทิศเหนือและด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยเป็นของจำเลยกึ่งหนึ่งมาโดยตลอดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๑นั้นแล้ว และเมื่อโจทก์ขอรังวัดที่ดินโฉนดที่ ๓๐๙๖ เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๕ จำเลยจึงชี้แนวเขตที่ดินของจำเลยที่กึ่งกลางลำกระโดงแสดงว่าจำเลยได้ยึดถือลำกระโดงทั้งสองด้านของโจทก์ว่าเป็นของตนถึงกึ่งกลางลำกระโดงแต่ละด้าน จำเลยได้ครอบครองลำกระโดงนั้นมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกินกว่า๑๐ ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่จำเลยครอบครองรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๒ แม้โจทก์จะได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ ว่า จำเลยก่อสร้างรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์ตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีตามเอกสารหมาย จ.๕ ก็เป็นเวลาภายหลังที่กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จำเลยรุกล้ำได้ตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่จำเลยรุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้โดยให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในลำกระโดงกึ่งหนึ่งโดยการครอบครองปรปักษ์เป็นการพิพากษาที่ขัดต่อกฎหมายและพิพากษาเกินและนอกเหนือคำขอและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ถ้ามิได้จดทะเบียนการได้มาจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ นั้นศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่าไม่ได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ หากรุกล้ำจำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่รุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่รุกล้ำโดยการครอบครองปรปักษ์โดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้งและเสียค่าขึ้นศาลมาก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ก็เพียงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์เท่านั้น ศาลอุทธรณ์หาได้พิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ไม่ คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ได้รับการยกที่ดินให้และได้รับมรดกจากนายกิมเซ็ก นายยุ้น และนายเลี้ยน โดยมิได้เสียค่าตอบแทนฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แม้จะยังมิได้จดทะเบียนก็ตามย่อมยกเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้เพราะโจทก์ถึงจะจดทะเบียนโดยสุจริต แต่ก็มิได้เสียค่าตอบแทนแต่อย่างใด ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share