คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4769/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

วันที่ 12 มิถุนายน 2538 โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่พนักงานเดินหมายส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลย วันที่ 14 มิถุนายน 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง และให้จำหน่ายคดีจากสารบบความต่อมาวันที่ 26มิถุนายน 2538 จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้องไปแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ สำเนาให้โจทก์และนัดชี้สองสถาน เป็นกรณีที่โจทก์ขอถอนฟ้องก่อนจำเลยยื่นคำให้การต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 175 วรรคหนึ่ง ซึ่งมิได้บัญญัติห้ามไม่ให้ศาลให้อนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยก่อนศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้โดยไม่ต้องฟังจำเลยก่อน
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 182 วรรคหนึ่ง และมาตรา 183 วรรคสอง ศาลจะทำการชี้สองสถานได้ต่อเมื่อมีคำฟ้องและคำให้การ แต่เมื่อโจทก์ถอนคำฟ้องก่อนจำเลยยื่นคำให้การ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้ก็เท่ากับไม่มีคำฟ้องจะนำมาเปรียบเทียบกับคำให้การเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาท และไม่มีความจำเป็นที่จำเลยต้องให้การแก้ข้อกล่าวหาอีกต่อไป ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นตรวจสำนวนพบว่า มีการสั่งรับคำให้การและนัดชี้สองสถานไว้อันเป็นข้อที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมหรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับคำให้การและนัดชี้สองสถานอันเป็นการสั่งโดยผิดหลงเป็นไม่รับคำให้การและยกเลิกวันนัดชี้สองสถานจึงเป็นการสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดาวน์ที่โจทก์ผ่อนชำระให้จำเลยเป็นเงิน 1,225,000 บาท ค่าจ้างและค่าวัสดุในการเปลี่ยนแปลงสุขภัณฑ์และกระเบื้องเคลือบที่โจทก์ชำระเป็นเงิน 500,000 บาท กับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องเช่าหอพักเป็นเงิน 2,000,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนคำฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ หลังจากนั้นจำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ สำเนาให้โจทก์ และนัดชี้สองสถาน ภายหลังศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับคำให้การและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำให้การและยกเลิกวันนัดชี้สองสถาน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า วันที่ 12 มิถุนายน 2538โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่พนักงานเดินหมายส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยวันที่ 14 มิถุนายน 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ ต่อมาวันที่ 26 มิถุนายน 2538 จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้องไปแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ สำเนาให้โจทก์และนัดชี้สองสถาน ครั้นวันที่ 6 กรกฎาคม 2538 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตรวจสำนวนพบว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องลงวันที่ 12 มิถุนายน 2538 ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2538 ต่อมาวันที่ 26 มิถุนายน 2538 จำเลยยื่นคำให้การ ศาลมีคำสั่งรับคำให้การและนัดชี้สองสถานโดยผิดหลง จึงให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำให้การจำเลย ยกเลิกวันนัดชี้สองสถาน คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความโดยไม่รับฟังจำเลยก่อนชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 หรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ก่อนจำเลยยื่นคำให้การ โจทก์อาจถอนคำฟ้องได้ โดยยื่นคำบอกกล่าวเป็นหนังสือต่อศาล” และในวรรคสอง บัญญัติว่า”ภายหลังจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้ ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้ แต่ (1) ห้ามไม่ให้ศาลให้อนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอด ถ้าหากมีก่อน (2) ในกรณีที่โจทก์ถอนคำฟ้อง เนื่องจากมีข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลย ให้ศาลอนุญาตไปตามคำขอนั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงข้างต้นเป็นกรณีที่โจทก์ขอถอนฟ้องก่อนจำเลยยื่นคำให้การต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคหนึ่ง ซึ่งมิได้บัญญัติห้ามไม่ให้ศาลให้อนุญาตโดยมิได้ฟังจำเลยก่อนดังบัญญัติไว้ในมาตรา 175 วรรคสอง(1) ซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์ขอถอนคำฟ้องภายหลังจำเลยยื่นคำให้การแล้วนั้น ศาลจะต้องฟังจำเลยก่อนจึงจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความได้โดยไม่ต้องฟังจำเลยก่อนจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคหนึ่งแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ สำเนาให้โจทก์ นัดชี้สองสถานแล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกเฉยคำสั่งรับให้การเป็นไม่รับคำให้การและงดชี้สองสถานเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 หรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 182 วรรคหนึ่ง บัญญัติเกี่ยวกับการชี้สองสถานไว้ว่า “เมื่อได้ยื่นคำฟ้อง คำให้การและคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ถ้าหากมีแล้ว ให้ศาลทำการชี้สองสถานโดยแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ฯลฯ” และมาตรา 183 วรรคสอง บัญญัติว่า “ให้ศาลตรวจคำคู่ความ…แล้วนำข้ออ้างข้อเถียงที่ปรากฏในคำคู่ความ… เทียบกันดูและสอบถามคู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียง และพยานหลักฐานที่ยื่นต่อศาลว่า ฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไรข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกัน ก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง แต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคำคู่ความ ให้ศาลกำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทและกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้” เห็นว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลจะทำการชี้สองสถานได้จะต้องมีคำฟ้องอันเป็นกระบวนพิจารณาที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาล และมีคำให้การอันเป็นกระบวนพิจารณาซึ่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยกขึ้นต่อสู้เป็นข้อแก้คำฟ้อง เพื่อนำคำฟ้องและคำให้การมาเทียบกันดูว่ามีข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง แต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับ ก็จะได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทและจะได้กำหนดให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหลังกัน แต่เมื่อเป็นกรณีที่โจทก์ถอนคำฟ้องโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนจำเลยยื่นคำให้การ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องได้ทั้งได้สั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความเสียแล้ว ก็เท่ากับไม่มีโจทก์และคำฟ้องของโจทก์ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาและข้อกล่าวหาอยู่ในศาลชั้นต้นอีกต่อไปทำให้ไม่มีคำฟ้องจะนำมาเปรียบเทียบกับคำให้การเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาท และไม่มีความจำเป็นที่จำเลยต้องให้การแก้ข้อกล่าวหาอีกต่อไปเนื่องจากไม่มีข้อกล่าวหาแล้ว ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นตรวจสำนวนพบว่า มีการสั่งรับคำให้การและนัดชี้สองสถานไว้อันเป็นข้อที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมหรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเรื่องการยื่นหรือการส่งคำคู่ความหรือการพิจารณาคดี ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ตามที่เห็นสมควรตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่รับคำให้การและนัดชี้สองสถานอันเป็นการสั่งโดยผิดหลงเป็นไม่รับคำให้การและยกเลิกวันนัดชี้สองสถานจึงเป็นการสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2538 นั้นชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share