แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยทั้งสองมาฟังคำสั่งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2534 ถ้าไม่มาฟังคำสั่งให้ถือว่าได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วต่อมาวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534ศาลชั้นต้นสั่งว่ารับฎีกาของจำเลยทั้งสอง สำเนาฎีกาให้โจทก์ถ้าหากไม่มีผู้รับสำเนาฎีกาให้ปิดหมายนัดได้ และศาลชั้นต้นออกหมายนัดให้เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่นำส่งหรือเสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาฎีกาแก่โจทก์ภายในเวลาอันสมควร การที่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีต่อมาเป็นเวลา 1 เดือนเศษ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฎีกา.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2531 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ เป็นเงิน 222,408 บาท แบ่งชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือนมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายจำนวน 64,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นจึงไม่รับฟ้อง คืนค่าธรรมเนียมให้ทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 4กุมภาพันธ์ 2534 ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยทั้งสองมาฟังคำสั่งในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2534 และสั่งว่าถ้าไม่มาฟังคำสั่งให้ถือว่าได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในคำฟ้องฎีกาของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534 ว่า รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง สำเนาฎีกาให้โจทก์ ถ้าหากไม่มีผู้รับสำเนาฎีกาให้ปิดหมายนัดได้ ศาลชั้นต้นได้ออกหมายนัดให้เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์2534 จำเลยทั้งสองมีหน้าที่นำส่งหรือเสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาฎีกาแก่โจทก์ภายในเวลาอันสมควร การที่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีต่อมาเป็นเวลา 1 เดือนเศษ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246, 247
จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ.