คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4762/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เดิมเป็นที่ดินของ ข.และ บ. เป็นผู้ได้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาท โจทก์เป็นผู้ซื้อประทานบัตรเหมืองแร่จาก บ. แม้โจทก์จะเป็นผู้ทำเหมืองแร่และครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แต่ตามสัญญาซื้อขายประทานบัตรก็ระบุให้โจทก์ได้สิทธิผิวดินตามประทานบัตรเหมืองแร่ คือสิทธิที่จะทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาทเท่านั้น บ. ไม่ได้โอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่ประการใด ดังนั้นสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทยังคงเป็นของ บ. เจ้าของเดิมหรือทายาทผู้สืบสิทธิทางมรดกสืบต่อกันมา ส่วนการที่จำเลยไปสอบเขตที่ดินพิพาท และโจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาก็ตาม แต่คัดค้านของโจทก์ก็อ้างสิทธิที่โจทก์พึงมีอยู่ตามประทานบัตรเหมืองแร่เท่านั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างสิทธิอื่นใดนอกเหนือไปจากสิทธิตามประทานบัตรเหมืองแร่ดังนั้น จะถือว่าคำคัดค้านของโจทก์เป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยแจ้งไปยัง บ. หรือทายาทผู้ครอบครองว่าไม่เจตนายึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าซึ่งอยู่ที่หมู่ที่ 2 ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ตโดยครอบครองทำประโยชน์มาเป็นเวลา 20 ปีติดต่อกัน ต่อมาจำเลยยื่นขอรังวัดออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของโจทก์ โจทก์คัดค้านเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตแจ้งให้โจทก์ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ถ้าโจทก์เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ไปใช้สิทธิทางศาลภายใน 60 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ขอให้พิพากษาว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายดำรงค์ หรือเซี่ยงหุ้ย ทรัพย์ทวี ต่อมานายดำรงค์ให้นายบำรุงหรืองิมล่องทรัพย์ทวี ออกประทานบัตรทำเหมืองแร่ดีบุกในที่ดินพิพาทตามประทานบัตรเลขที่ 6522/5478 หลังจากที่นายบำรุงทำเหมืองแร่ได้ระยะหนึ่งจึงโอนขายสิทธิตามประทานบัตรการทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ระหว่างโจทก์ทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาทนายดำรงค์ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่นางเลี่ยนซี่ผู้เป็นภรรยาและเป็นแม่ยายของจำเลย เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2527 ต่อมานางเลี่ยนซี่ได้โอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย แล้วจำเลยครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตลอดมา การครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทของโจทก์ในระหว่างการทำเหมืองแร่เป็นการครอบครองแทนเจ้าของที่ดินเดิม และโจทก์มีสิทธิตามประทานบัตรทำเหมืองแร่เท่านั้น จำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายบำรุงหรืองิมล่อง ทรัพย์ทวีเจ้าของเดิมที่ดินพิพาท เป็นผู้ได้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2499 โจทก์ได้ซื้อประทานบัตรเหมืองแร่ของที่ดินพิพาทและที่ดินมีโฉนดอีกสองแปลงจากนายบำรุงและโจทก์ทำเหมืองแร่และครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แม้โจทก์จะนำสืบได้ความว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทก็ตาม แต่โจทก์ก็เข้าอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามประทานบัตรเหมืองแร่ที่โจทก์ซื้อมาจากนายบำรุงเจ้าของเดิม ซึ่งตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 23 ระบุให้ผู้ซื้อคือโจทก์ได้สิทธิผิวดินตามประทานบัตรเหมืองแร่ คือสิทธิที่จะทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาทเท่านั้น เจ้าของเดิมผู้ขายมิได้โอนสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ผู้ซื้อด้วยแต่ประการใด ดังนั้น สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทยังคงเป็นของนายบำรุง หรือทายาทผู้สืบสิทธิทางมรดกสืบต่อกันมา ส่วนที่จำเลยไปสอบเขตที่ดินพิพาทและโจทก์ได้ยื่นคำคัดค้าน ถึงแม้คำคัดค้านดังกล่าวโจทก์ระบุว่าโจทก์ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาก็ตาม แต่คำคัดค้านของโจทก์ก็อ้างสิทธิที่โจทก์พึงมีอยู่ตามประทานบัตรเหมืองแร่ดังกล่าวประกอบคำคัดค้านเท่านั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างสิทธิอื่นใดนอกเหนือไปจากสิทธิตามประทานบัตรเหมืองแร่ ดังนั้น จะถือว่าคำคัดค้านของโจทก์ดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยแจ้งไปยังนายบำรุงหรือทายาทผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 หาได้ไม่
พิพากษายืน

Share