คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4755/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดามารดาโจทก์อยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยเปิดเผยมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ความเป็นสามีภริยาและบุตรระหว่างบิดามารดาของโจทก์และโจทก์จึงต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งใช้ในขณะนั้น บิดามารดาโจทก์จึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมีย และโจทก์ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา จำเลยมีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกทุกคน ดังนั้น แม้โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของบิดาโจทก์ผู้ตายให้แบ่งมรดกแก่โจทก์เป็นเวลาเกิน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367และไม่อาจยกอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754ขึ้นใช้ยันโจทก์ผู้เป็นทายาทของเจ้ามรดกได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเย็นนางเจริญ หงษ์ทอง นายเย็นถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2521มีทรัพย์มรดกคือที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 726 และเลขที่ 737 จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายเย็นตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จะต้องแบ่งที่ดินมรดกให้แก่ทายาท 6 คน คือจำเลย นางสมศรี แก้วเจริญ นางน้อย หงษ์ทองและโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามมีส่วนได้รับมรดกคนละ 1 ใน 6 ส่วนขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 6 ส่วนหากจำเลยไม่จัดการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามเดือนละ 900 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะแบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสามเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเย็นและมีบุตรด้วยกัน 5 คน ที่ดินตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างนายเย็นกับจำเลย เมื่อนายเย็นถึงแก่ความตาย จำเลยได้ครอบครองตลอดมา โจทก์ทั้งสามไม่เคยเกี่ยวข้อง ต่อมาปี พ.ศ. 2522 จำเลยไปยื่นคำร้องขอรับมรดกของนายเย็น โจทก์ที่ 3 ไปคัดค้านโดยอ้างว่าโจทก์ที่ 3 เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเย็น คดีโจทก์ทั้งสามขาดอายุความเพราะไม่ฟ้องขอแบ่งมรดกภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นายเย็นถึงแก่ความตาย หากจะฟังว่าโจทก์ทั้งสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเย็น โจทก์ทั้งสามก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับมรดกของนายเย็นถึงคนละ 1 ใน 6 ส่วน โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 726เลขที่ 737 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 6 ส่วน หากจำเลยไม่จัดการหรือมิอาจทำได้ให้เอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามมิให้จำเลยยุ่งเกี่ยวทรัพย์มรดกในส่วนที่เป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสามและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามปีละ 900 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะจัดการแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายเย็นและนางเจริญอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยเปิดเผยเป็นที่รู้กันทั่ว ๆ ไปว่านายเย็นกับนางเจริญเป็นสามีภริยากันและมีบุตรด้วยกัน คือ โจทก์ทั้งสาม โดยอยู่กินกันมาก่อนปีพ.ศ. 2477 เพราะโจทก์ที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2474 ตามภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านท้ายฟ้องอันเป็นเวลาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ความเป็นสามีภริยาและบุตรระหว่างนายเย็น นางเจริญ และโจทก์ทั้งสามจึงต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งใช้ในขณะนั้น นายเย็นและนางเจริญจึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมียแล้ว ฉะนั้นโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นบุตรของนายเย็นและนางเจริญจึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเย็น แล้วฟังข้อเท็จจริงว่านายเย็นและจำเลยได้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงในขณะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา จำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลงครึ่งหนึ่ง โจทก์ทั้งสามมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งที่ดินพิพาททั้งสองแปลงคนละ 1 ส่วนในจำนวน 12 ส่วน จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความมรดก ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทรัพย์มรดกของนายเย็นตลอดมา แต่จำเลยยื่นคำร้องขอรับมรดกของนายเย็นในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเย็นเพื่อรับมรดกไปแบ่งให้แก่ทายาทของนายเย็น ทั้งเมื่อนายอำเภอบางระกำได้ทำการสอบสวนจำเลยยังให้ถ้อยคำว่า จำเลยมีหน้าที่จะต้องแบ่งมรดกของเจ้ามรดกรายนี้ให้แก่ทายาทผู้มีส่วนได้เสียทุกคน และหลังจากรับโอนมรดกแล้ว จำเลยยังได้โอนบางส่วนของที่ดินพิพาทแปลงเนื้อที่ 23 ไร่เศษให้แก่นางบุญหรือสมศรีทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกไป อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่บางส่วนของผู้จัดการมรดกแล้ว พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงไว้แทนทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกทุกคนด้วย หาใช่ครอบครองเพื่อตนเองแต่ผู้เดียวไม่ ดังนั้น แม้โจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกให้แบ่งมรดกแก่โจทก์ทั้งสามเป็นเวลาเกิน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเพื่อตนเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 และไม่อาจยกอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 ขึ้นใช้ยันโจทก์ทั้งสามผู้เป็นทายาทของเจ้ามรดกได้ ฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งมรดกที่ดินตาม น.ส.3ก. เลขที่726 และเลขที่ 737 ให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ส่วนใน 12 ส่วน หากจำเลยไม่จัดการหรือไม่อาจจัดการได้ให้เอาคำพิพากษาศาลฎีกาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามปีละ450 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะจัดการแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ทั้งสามเสร็จ.

Share