แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อของตนโดยมิได้เขียนแถลงว่า กระทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่งลงไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยจะอ้างว่าตนกระทำแทนบุคคลอื่นและขอนำพยานเข้าสืบประกอบข้ออ้างของตนหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ไว้ 1 ฉบับ สัญญาว่าจะชำระเงิน 18,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปีให้โจทก์หรือตามคำสั่ง ในวันที่ 8 ตุลาคม 2509 ณ ภูมิลำเนาของผู้รับเงินจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกันรับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนี้ ถึงกำหนดจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้เงินในฐานะผู้รับอาวัลแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินตามตั๋วกับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม 21,710 บาท กับดอกเบี้ยแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารท้ายฟ้องจริง โดยกระทำการเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ในห้างหุ้นส่วนไม่จดทะเบียนสหมิตร์การช่าง มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เงินจำนวนนี้ห้างหุ้นส่วนสหมิตร์การช่างนำไปใช้ในกิจการรับเหมาก่อสร้าง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับอาวัลจึงต้องชำระหนี้รายนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะไล่เบี้ยเอากับหุ้นส่วนอย่างไรก็ทำได้ โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 โจทก์ชอบที่จะเรียกร้องเอาจากตัวการโดยตรง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การต้องกันว่า ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ แต่ขอให้บังคับเอากับจำเลยที่ 1 ก่อน จำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินพอจะชำระหนี้ได้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับอาวัลเป็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับกิจการของห้างหุ้นส่วน
วันชี้สองสถาน จำเลยที่ 1 แถลงว่า ที่ว่าจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 นั้น คือ จำเลยที่ 2 ที่ 3 วานให้จำเลยที่ 1 กู้เงินให้ห้างหุ้นส่วนสหมิตร์การช่างไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปทำตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 18,000 บาท ดอกเบี้ย 3,710 บาท รวม 21,710 บาท ให้โจทก์กับชำระดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ในต้นเงิน 18,000 บาทจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ข้อ 1 จำเลยที่ 1 ออกตั๋วใช้เงินแทนจำเลยที่ 2 ที่ 3 เพื่อให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 เอาเงินไปใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนสหมิตร์การช่างศาลจึงควรให้จำเลยที่ 1 สืบพยานในข้อนี้เพื่อว่าเมื่อคดีถึงที่สุด จำเลยที่ 1 จะได้ออกเงินใช้โจทก์ไปเท่าใด จำเลยที่ 1 จะได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับหุ้นส่วนได้ ข้อ 2 โจทก์ผู้ทรงตั๋วเงินรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เท่ากับโจทก์ได้รู้ถึงข้อบกพร่องอันเกิดแก่ตั๋วเงินแล้ว กลับยอมรับเอาตั๋วเงินนั้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงใช้ยันโจทก์ได้ โดยถือว่าตั๋วเงินนั้นมีข้อบกพร่องหรือมีการรอนสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อ 1 ว่า เรื่องที่จำเลยที่ 1 จะได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้ใด ไม่เกี่ยวกับคดีเรื่องนี้ ปัญหาในคดีเรื่องนี้คงมีแต่เพียงว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินโดยมิได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่ง จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นผู้รับผิดตามความในตั๋วเงินนั้น (ป.พ.พ. มาตรา 901) จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าตนกระทำแทนบุคคลอื่นและขอนำพยานเข้าสืบประกอบข้ออ้างของตนหาได้ไม่
ฎีกาข้อ 2 จำเลยที่ 1 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรค 1
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 600 บาทแทนโจทก์