คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4749/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไป เพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 จะต้องเป็นกรณีที่เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นแต่หากเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้กระทำเองหรือร่วมกันกระทำเพื่อผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทำด้วยกันแล้วก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ การที่จำเลยกับ ส. และพวกอีกคนหนึ่งร่วมกันดักฉุดผู้เสียหายเพื่อสำเร็จความใคร่ของส. และเพื่อการอนาจารผู้เสียหายเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อ ส. ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน หาใช่เป็นกรณีร่วมกันพาไปให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นไม่จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283,309, 310
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นผู้เสียหายกับจำเลยได้ยอมความกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะความผิดตามมาตรา 310 สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสองและมาตรา 283 คงให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และต่อมาจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดในฐานความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 วรรคแรก และมาตรา 309 วรรคสอง ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283บัญญัติว่า “ผู้ใดเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง โดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด…” เห็นว่า การที่จำเลยกับนายสมบัติกับพวกอีกคนหนึ่งนำรถยนต์ไปรอดักฉุดผู้เสียหายขณะผู้เสียหายออกจากหอพักเพื่อจะไปซื้อของ และเมื่อขึ้นไปบนรถแล้วนายสมบัติใช้อาวุธปืนขู่บังคับไม่ให้ผู้เสียหายร้อง และได้พาไปกักขังไว้ที่บ้านหลังหนึ่งที่อำเภอพระประแดงนั้น ถือได้ว่าจำเลยกับนายสมบัติเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่า การพาผู้เสียหายไปนั้นเพื่อสำเร็จความใคร่ของนายสมบัติและเพื่อการอนาจารผู้เสียหายก็ตาม การกระทำของจำเลยก็หาเป็นความผิดตามมาตรา 283ตามฟ้องไม่ เพราะความผิดตามมาตรา 283 นั้น ต้องเป็นกรณีที่เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นถ้าเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้กระทำนั้นเองหรือร่วมกันกระทำเพื่อผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทำด้วยกันแล้วก็หาเป็นความผิดตามมาตรานี้ไม่ คดีนี้จำเลยและนายสมบัติกับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของนายสมบัติไม่ได้ร่วมพาไปให้สำเร็จความใคร่ของผู้ใดอื่น จึงจะแยกการกระทำที่ประกอบร่วมกันนี้ให้ตกเป็นความผิดแก่จำเลยว่าพาผู้เสียหายไปเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นไม่ใช่ตนเองหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 283 ตามฟ้องมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปมีว่า คดีมีเหตุลงโทษจำเลยในสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง หรือไม่…”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคสอง วางโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาทลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือนและปรับ 2,500 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ความผิดฐานอื่นให้ยกฟ้อง.

Share