คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4745/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้องขอระบุพยานบุคคล 3 อันดับ พยานเอกสาร 6 อันดับ รวม 9 อันดับเพิ่มเติม อ้างเหตุสองประการคือบัญชีระบุพยานยังพิมพ์ขาดตกบกพร่อง และเอกสารที่ขอระบุเพิ่มเติมนี้เพิ่งทราบว่ามีและหาได้ พยานบุคคลที่ขอระบุเพิ่มเติมได้ความว่า พยานบุคคลที่ระบุไว้เดิมมาเบิกความไม่ได้ในวันนัดโจทก์จึงระบุพยานเพิ่มเติมแทนพยานที่ระบุไว้เดิม และนำตัวมาพร้อมที่จะเบิกความด้วยในวันนัดเช่นนี้นั้น กรณีถือได้ว่ามีเหตุอันสมควร ส่วนพยานเอกสารที่ขอเพิ่มเติม 6 อันดับ โจทก์อ้างว่าเพิ่งทราบว่ามีอยู่ จำเลยมิได้คัดค้านและไม่ปรากฏว่าเป็นเอกสารที่โจทก์รู้อยู่ก่อนแล้วว่ามี กรณีต้องฟังตามคำร้องของโจทก์ว่าเพิ่งทราบว่ามีอยู่ จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 วรรคสี่ เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จึงอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม
นัดสืบพยานโจทก์นัดแรกโจทก์ขอเลื่อนโดยแถลงว่านัดหน้าจะนำพยานมาสืบ นัดต่อมาโจทก์ไม่มีพยานตามที่ระบุไว้แล้วมาศาล คงมีแต่พยานบุคคลที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมในวันนั้นมาศาลพร้อมที่จะสืบ แต่ศาลไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม โจทก์แถลงถึงความจำเป็นที่พยานคนเดิมไม่มาศาลไว้ด้วย พฤติการณ์เช่นนี้ยังไม่พอฟังว่าโจทก์มีเจตนาประวิงคดีให้ชักช้า และการที่โจทก์นำพยานบุคคลที่ระบุเพิ่มเติมเข้าสืบก็ไม่มีข้อที่จะทำให้จำเลยเสียเปรียบในทางคดีแต่อย่างใด เพราะแม้ตามบัญชีระบุพยานเดิมเมื่อถึงวันนัดจำเลยก็ไม่อาจรู้ได้ว่าโจทก์นำพยานบุคคลอื่นใดเข้าสืบก่อนหลัง และไม่อาจรู้ได้ก่อนว่าพยานปากใดจะเบิกความในประเด็นแห่งคดีเรื่องอะไรก่อนที่จะลงมือสืบพยาน ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประสงค์จะเอาเปรียบจำเลยในทางคดี กรณีมีเหตุอันสมควรให้โจทก์สืบพยานไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย
โจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๓ ศาลภาษีอากรกลางจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะ-กรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้องของโจทก์
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม และจะนำพยานที่ขอระบุเพิ่มเติมอันดับ ๑ เข้าสืบโดยไม่ได้นำพยานบุคคลปากอื่นมาศาล จำเลยแถลงคัดค้าน ศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ และเห็นว่าเป็นการประวิงคดี ประสงค์จะเอาเปรียบจำเลยในทางคดี เมื่อโจทก์ไม่ได้นำพยานปากอื่นมาศาลถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ และมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยปัญหาสมควรอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมหรือไม่ว่า คำร้องระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ยื่นโดยอาศัยข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ ๘ วรรคสี่ ในคำร้องอ้างเหตุสองประการคือบัญชีระบุพยานของโจทก์ยังพิมพ์ขาดตกบกพร่องอยู่และเอกสารต่าง ๆที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมนี้เป็นเอกสารที่โจทก์เพิ่งทราบว่ามีและหาได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลอนุญาต เห็นว่าบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์เป็นพยานบุคคล ๓ อันดับ และพยานเอกสาร๖ อันดับ รวม ๙ อันดับ สำหรับพยานบุคคลของโจทก์ที่ระบุเพิ่มเติมนั้นได้ความว่า โจทก์ระบุเพิ่มเติมเพื่อจะนำเข้าสืบแทนพยานบุคคลที่ระบุไว้เดิม เนื่องจากพยานบุคคลที่ระบุไว้ตามบัญชีระบุพยานเดิมนั้นมีความจำเป็นไม่อาจมาเบิกความในวันดังกล่าวได้เพราะพยานอันดับหนึ่งเป็นชาวต่างประเทศ ยังหาล่ามแปลไม่ได้ พยานอันดับสองเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนพยานอันดับสามยังไม่พร้อมที่จะเบิกความสำหรับพยานอันดับสามนั้นตามเหตุที่โจทก์แถลงนั้นยังไม่อาจเห็นถึงความจำเป็นในการที่จะมาเบิกความไม่ได้ แต่เหตุผลสำหรับพยานสองอันดับแรกในบัญชีระบุพยานเดิมนั้น การที่มาเบิกความไม่ได้นับว่ามีเหตุผลและความจำเป็นที่ไม่อาจมาเบิกความได้ การที่พยานบุคคลที่ระบุไว้เดิมมาเบิกความไม่ได้ในวันนัด โจทก์จึงระบุพยานบุคคลเพิ่มเติมและนำตัวมาพร้อมที่จะเบิกความด้วยในวันนัดเช่นนี้นั้น กรณีถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรตามข้อกำหนดไว้ในข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ ๘ วรรคสี่แล้ว ทั้งจำเลยก็มิได้คัดค้านในข้อที่ว่ามีเหตุสมควรหรือไม่ คงอ้างว่าโจทก์ประสงค์จะเอาเปรียบในทางคดีเท่านั้น สำหรับพยานเอกสารเพิ่มเติมรวม ๖ อันดับ ที่โจทก์อ้างว่าเพิ่งทราบว่ามีอยู่นั้น จำเลยมิได้คัดค้านและก็ไม่ปรากฏว่าเป็นเอกสารที่โจทก์รู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีกรณีต้องฟังตามคำร้องของโจทก์ว่าเพิ่งทราบว่ามีอยู่จึงเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ ๘ วรรคสี่ ที่ว่า ตนไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่ เห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานที่โจทก์ระบุเพิ่มเติม จึงอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมตามบัญชีระบุพยานลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๓๒ ได้ ที่ศาลภาษีอากรกลางสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ดังกล่าวศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ส่วนปัญหาเรื่องประวิงคดีวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินอันเป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์เท่าจำนวนเงินที่โจทก์จะต้องชำระตามหนังสือแจ้งการประเมินการที่คดีเนิ่นช้าไปนั้นโจทก์มิได้รับประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นจากการล่าช้านั้น ฉะนั้นโดยลักษณะของคดีจึงไม่มีเหตุผลที่โจทก์จะประวิงให้ชักช้าเพื่อเหตุใด และเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ในการดำเนินคดีของโจทก์ในการสืบพยานโจทก์นัดแรกโจทก์ขอเลื่อนโดยแถลงว่านัดหน้าจะนำพยานมาสืบ นัดต่อมาโจทก์ไม่มีพยานบุคคลตามที่ระบุพยานไว้แล้วมาศาล คงมีแต่พยานบุคคลที่โจทก์ขอระบุเพิ่มเติมในวันนั้นมาศาลพร้อมที่จะสืบ แต่ศาลไม่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติม โจทก์จึงนำพยานบุคคลที่มาศาลในวันนั้นเข้าสืบไม่ได้ เพราะพยานบุคคลตามบัญชีระบุพยานเดิมไม่มาศาลโดยโจทก์แถลงถึงความจำเป็นที่พยานบุคคลตามบัญชีระบุพยานเดิมไม่มาศาลไว้ด้วย ซึ่งศาลภาษีอากรกลางมิได้พิจารณาในส่วนนี้ว่ามีเหตุผลฟังได้หรือไม่เพียงใดฟังเลยว่าเป็นการประวิงคดี เห็นว่าพฤติการณ์แห่งการกระทำอย่างนี้นั้นยังไม่พอที่จะถือว่าโจทก์มีเจตนาที่จะประวิงคดีให้ชักช้า สำหรับกรณีที่การดำเนินคดีของโจทก์ประสงค์จะเอาเปรียบฝ่ายจำเลยในทางคดีหรือไม่นั้น เห็นว่าการที่โจทก์จะนำพยานบุคคลที่ระบุเพิ่มเติม วันนั้นเข้าสืบเลยนั้นไม่มีข้อที่จะทำให้จำเลยเสียเปรียบในทางคดีแต่อย่างใด เพราะถึงแม้พยานบุคคลตามบัญชีระบุพยานเดิมเมื่อถึงวันนัด จำเลยก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าโจทก์จะนำพยานบุคคลอันดับใดเข้าสืบก่อนหลังเพราะไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ว่าจะต้องเข้าสืบตามลำดับ และพยานบุคคลตามบัญชีระบุพยานนั้น ทั้งศาลและคู่ความฝ่ายตรงข้ามก็ไม่อาจจะรู้ได้ก่อนว่าพยานปากใดจะเบิกความในประเด็นแห่งคดีในเรื่องอะไรก่อนที่จะลงมือสืบพยาน กรณีอย่างนี้จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ประสงค์จะเอาเปรียบจำเลยในทางคดี กรณีมีเหตุอันสมควรที่จะให้โจทก์สืบพยานไปตามที่โจทก์อุทธรณ์ร้องขอมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๓ (๒) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรกลางและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา ๑๗
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาพิพากษาใหม่.

Share