คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4745/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ แม้โจทก์จะมิได้ระบุอายุของตน ลงในคำฟ้องแต่ก็ได้บรรยายฟ้องไว้ว่าตน เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ซ. และเมื่ออ้างตนเองเป็นพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ก็เบิกความว่าตน มีอายุ 40 ปี ย่อมทราบได้ว่าโจทก์อายุ 40 ปี เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่เพียงพอที่จะถือว่าคำฟ้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(3).

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกนายสุรพล จันทวรรณศรี ว่า จำเลยที่ 1 และนายวีระ เจริญกิจว่า จำเลยที่ 2
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 352, 83 ส่วนสำนวนที่สองและที่สามโจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ. 2499 มาตรา 42 และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องทั้งสามสำนวนแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลจึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำคุก 1 ปี สำนวนที่สองพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353รวม 2 กรรม จำคุกกรรมละ 1 ปี รวมเป็น 2 ปี สำนวนที่สามพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353จำคุก 6 เดือน ส่วนข้อหาอื่นรวมทั้งจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ 1 ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามสำนวนมิได้ระบุอายุของโจทก์ไว้ อันเป็นสาระสำคัญ เพราะกฎหมายต้องการทราบว่า โจทก์เป็นผู้เยาว์หรือบรรลุนิติภาวะมีความสามารถในการฟ้องคดีเองได้หรือไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(3) นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 บัญญัติว่าฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและมี
(3) ตำแหน่งพนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ ถ้าราษฎรเป็นโจทก์ให้ใส่ชื่อตัวนามสกุล อายุ ที่อยู่ ชาติและบังคับ
ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีทั้งสามสำนวนนี้เป็นคดีที่ราษฏรเป็นโจทก์โดยมิได้ระบุอายุของโจทก์ลงในคำฟ้อง แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ว่า โจทก์เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทเซ้าท์เทอร์นไทยรับเบอร์ (ภูเก็ต) จำกัด และเมื่อโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ก็เบิกความว่าโจทก์มีอายุ 40 ปีจึงทราบได้แล้วว่าโจทก์อายุ 40 ปี เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว การที่โจทก์ไม่ได้ระบุอายุลงในฟ้องจึงไม่เป็นการเพียงพอที่จะถือว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(3) ดังนั้น ฟ้องของโจทก์ทั้งสามสำนวนจึงสมบูรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share