แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยตกลงกับ ร.ว่าถ้าให้เงิน60,000บาทบุตรของร.จะเข้าโรงเรียนนายสิบทหารบกได้ร. ได้ต่อรองเหลือ 50,000 บาทและ ร.ได้มอบเงินแก่จำเลยจนครบถ้วนแล้วแต่ต่อมาบุตรของร.สอบเข้าเรียนไม่ได้ เพราะจำเลยไม่สามารถช่วยให้เข้าเรียนได้ก็เป็นการหลอกลวง ร.ทั้งไม่ปรากฏว่าร. ได้ให้เงินแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปให้แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการสอบคัดเลือกให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต การที่จำเลยรับว่าจะช่วยบุตรของ ร.จึงเป็นการหลอกลวงร. เพื่อต้องการได้เงินจาก ร.เท่านั้นไม่ถือว่าร. ร่วมกับจำเลยนำสินบนไปให้เจ้าพนักงาน อันเป็นการใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดร. ย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย และมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้ ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยหลอกลวงและได้รับเงินไปจากผู้เสียหายหรือไม่ เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจำเลยสามารถฝากนายศักดิ์สินบุตรของผู้เสียหายให้เข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกโรงเรียนนายสิบทหารบกได้ โดยผู้เสียหายจะต้องนำเงินมามอบให้จำเลยจำนวน 50,000 บาท ซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถฝากนายศักดิ์สินหรือผู้ใดให้เข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกได้ จากการที่จำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จและหลอกลวงผู้เสียหายดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงมอบเงินจำนวน 50,000 บาท ให้จำเลยไปแต่แล้วจำเลยก็ไม่สามารถฝากนายศักดิ์สิน ให้เข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบกได้จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายแล้วจำนวน 5,000 บาทขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 45,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ลงโทษจำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนเงิน45,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่านางรินทองเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายที่มีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวกับจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยตกลงกับนางรินทองว่า ถ้าให้เงิน 60,000 บาทบุตรของนางรินทองจะเข้าโรงเรียนนายสิบทหารบกได้ ได้มีการต่อรองเหลือ 50,000 บาท จำเลยนัดหมายนางรินทองไปที่องค์การทหารผ่านศึกแล้วมีการเรียกเงินจากนางรินทองเป็นระยะ ๆ จนครบ 50,000 บาทแต่ต่อมาปรากฏว่า บุตรของนางรินทองสอบเข้าเรียนในโรงเรียนนายสิบทหารบกไม่ได้ เพราะจำเลยไม่สามารถช่วยให้เข้าเรียนได้ก็เป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย ทั้งข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางรินทองได้ให้เงินแก่จำเลยเพื่อให้จำเลยนำไปให้แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการสอบคัดเลือกให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต การที่จำเลยรับว่าจะช่วยบุตรของนางรินทองจึงเป็นการหลอกลวงนางรินทอง เพื่อต้องการได้เงินจากนางรินทองเท่านั้น จึงไม่ถือว่านางรินทองร่วมกับจำเลยนำสินบนไปให้เจ้าพนักงานอันเป็นการใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิด ดังนั้น นางรินทองย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายและมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นคดีจึงมีปัญหาต่อไปว่าจำเลยได้หลอกลวงและได้เงินไปจากผู้เสียหายหรือไม่ ซึ่งจำเลยต่อสู้อยู่ว่า ร้อยเอกเที่ยงเป็นผู้ตกลงรับช่วยให้บุตรผู้เสียหายเข้าโรงเรียนนายสิบทหารบกโดยรับเงินจากผู้เสียหายด้วยตนเองและบางส่วนให้จำเลยรับแทนจากผู้เสียหายเท่านั้น ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวเพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาและพิพากษาใหม่”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี