คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4742/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับ ว. ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ ว. แล้ว ว. นำไปจำหน่ายต่อให้แก่สายลับ โดยจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ดังนี้ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญ ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215, 225 ทั้งไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ว. ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับได้ด้วย แต่การที่จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ ว. เป็นเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นนี้ว่า ในวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายเวชสุวรรณ มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 7 เม็ด น้ำหนัก 0.647 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.230 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับในราคา 2,300 บาท โดยร้อยตำรวจโทอนุชิต ดาบตำรวจอนุวัตรและดาบตำรวจโพธิ์ กับพวกเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาดินดำ สถานีตำรวจภูธรเชียงคานและเจ้าพนักงานตำรวจกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน 246 ร่วมกันจับกุมนายเวชสุวรรณพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง หลังจากนั้นร้อยตำรวจโทอนุชิต ดาบตำรวจอนุวัตรและดาบตำรวจโพธิ์กับพวกและนายเวชสุวรรณเดินทางไปที่กระท่อมนาซึ่งอยู่ในสวนยางพารา ตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 2,300 บาท ปะปนอยู่กับธนบัตรอื่นรวม 6,960 บาท อยู่ในถุงพลาสติกใต้เบาะที่นั่งรถไถนาแบบเดินตาม จึงจับกุมจำเลยและยึดธนบัตรเป็นของกลาง แล้วนำนายเวชสุวรรณและจำเลยพร้อมของกลางส่งมอบให้พันตำรวจโทประวัติ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรนาดินดำดำเนินคดี ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องกล่าวหานายเวชสุวรรณและจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนต่อศาลชั้นต้น นายเวชสุวรรณให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษนายเวชสุวรรณและมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับนายเวชสุวรรณกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทอนุชิต ดาบตำรวจอนุวัตรและดาบตำรวจโพธิ์ผู้ร่วมจับกุมเป็นพยานเบิกความว่า ขณะพยานทั้งสามซุ่มดูการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน เห็นสายลับมอบเงินให้นายเวชสุวรรณ แล้วนายเวชสุวรรณขับรถจักรยานยนต์ออกไป ประมาณ 5 นาที นายเวชสุวรรณขับรถจักรยานยนต์กลับมาอีกครั้งและมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้สายลับ พยานทั้งสามกับพวกจึงจับกุมนายเวชสุวรรณแล้วสอบถามนายเวชสุวรรณ นายเวชสุวรรณรับว่าได้ซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลยที่กระท่อมนาในสวนยางพารา พยานทั้งสามให้นายเวชสุวรรณพาไปที่กระท่อมนา เมื่อไปถึงพยานทั้งสามกับพวกพบจำเลย จึงแสดงตัวขอตรวจค้นผลการตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 2,300 บาท ปะปนอยู่กับธนบัตรอื่นรวม 6,960 บาท อยู่ในถุงพลาสติกใต้เบาะที่นั่งรถไถนาแบบเดินตาม เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามไม่เคยรู้จักจำเลยและไม่รู้จักกระท่อมนาในสวนยางพารามาก่อน เหตุที่พยานโจทก์ทั้งสามเดินทางไปที่กระท่อมนานั้น ก็เพราะได้รับแจ้งจากนายเวชสุวรรณว่า ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลยที่กระท่อมนาและนายเวชสุวรรณพาพยานโจทก์ทั้งสามไปที่กระท่อมนานั้น เมื่อไปถึงพยานโจทก์ทั้งสามก็พบจำเลยและสามารถตรวจยึดธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 2,300 บาท มาเป็นของกลางประกอบคดีได้ จำเลยเองก็เบิกความรับว่า ได้รับธนบัตรมาจากนายเวชสุวรรณจริง เพียงแต่อ้างว่า เป็นเงินที่นายเวชสุวรรณนำมาชำระหนี้เงินกู้ให้จำเลย พยานโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ ไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เหตุระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยจึงไม่มี คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แม้จำเลยมีนายเวชสุวรรณเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ได้นำธนบัตรของกลางไปชำระหนี้ให้แก่จำเลยจริง แต่ในชั้นสอบสวนจำเลยได้ให้การรับสารภาพว่า ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้นายเวชสุวรรณจริง โดยพันตำรวจโทประวัติพนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นผู้สอบคำให้การจำเลยตามบันทึกคำให้การ คำให้การนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวจำเลย การกระทำความผิดของจำเลยรวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ที่มาของเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยนำมาจำหน่ายการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นรายละเอียดที่อยู่ในความรู้เห็นของจำเลย ยากที่พันตำรวจโทประวัติพยานโจทก์จะแต่งเรื่องขึ้นเอง เชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยสมัครใจ คำเบิกความของนายเวชสุวรรณจึงมีลักษณะเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยมากกว่า ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า นายเวชสุวรรณซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยแล้วนำไปจำหน่ายให้แก่สายลับ โดยจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยเลย ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญ ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215, 225 ทั้งไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนายเวชสุวรรณฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับได้ด้วย อย่างไรก็ดี การที่จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้นายเวชสุวรรณ เป็นเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน

Share