คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1196/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่เหลือ หลังจากสืบพยานโจทก์ไปแล้วหนึ่งปากและฟังข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์ที่สืบไปแล้ว ซึ่งยังฟังไม่ได้ถนัดเพราะพยานอาจเบิกความพลั้งเผลอไป และโจทก์ยังแถลงขอสืบพยานต่อไปอีกนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ชอบที่ศาลจะฟังพยานโจทก์ต่อไป ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ที่เหลือต่อไป แล้วพิพากษาใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานป่าไม้ได้จับกุมจำเลยที่ 1 ฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้ตีตรายึดไม้ไว้เป็นของกลาง กับได้ทำสัญญาจ้างนายขอมเป็นผู้เฝ้ารักษาต่อมาจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งไม้ของกลางทั้งหมดอันเป็นทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานได้ยึดรักษาไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานและเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142, 83 และให้คืนไม้ของกลางแก่นายขอม

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ได้หนึ่งปาก เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย โดยที่โจทก์ยังติดใจสืบพยานอื่นต่อไป แล้ววินิจฉัยว่า เมื่อพนักงานอัยการแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยที่ 1 และสั่งคืนไม้ของกลางแก่จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1มีสิทธิเอาไม้ของกลางไปได้ เจ้าพนักงานป่าไม้ไม่มีอำนาจที่จะยึดไม้ของกลางไว้อีกต่อไป พิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้ยกคำขอที่ให้คืนไม้ของกลาง

โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ปากเดียวและสั่งงดสืบพยานโจทก์ต่อไป เป็นการมิชอบ พยานโจทก์อาจเบิกความพลั้งเผลอไป ความจริงพนักงานอัยการไม่มีอำนาจสั่งคืนของกลางให้แก่ผู้ใด และพนักงานอัยการไม่เคยแจ้งคืนของกลางให้แก่จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานที่เหลือต่อไป

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีไม่มีเหตุสมควรที่จะต้องสืบพยานโจทก์ที่เหลือต่อไป และฟังว่าพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วการที่จำเลยที่ 1 เอาไม้ของกลางคืนไปโดยเจ้าพนักงานป่าไม้ยังมิได้มอบคืน เป็นการเอาไม้ของจำเลยซึ่งพ้นจากการถูกเจ้าพนักงานยึดไว้เป็นหลักฐาน หรือเพื่อการบังคับการตามกฎหมายแล้ว ทั้งมิได้จำหน่ายหรือทำให้ไม้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิด พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ปัญหามีว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์ที่เหลือเป็นการชอบหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีนายพนัส วิจิตรภาพ พนักงานบำรุงป่าเบิกความว่า จำเลยที่ 1 มีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 และยึดไม้เป็นของกลางโดยจ้างนายขอมเป็นผู้เฝ้ารักษา ต่อมาพนักงานสอบสวนได้แจ้งคำสั่งของพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องให้คืนไม้ของกลางแก่จำเลยที่ 1 ป่าไม้อำเภอปทิวได้หารือเรื่องคืนไม้ของกลางไปยังจังหวัดและกรมป่าไม้ ในระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ได้มาเอาไม้ของกลางไป เห็นว่า พนักงานอัยการจะสั่งคืนไม้ของกลางแก่จำเลยจริงหรือไม่ จะฟังแต่คำนายพนัสพยานโจทก์ปากเดียวยังไม่ถนัด ทั้งพนักงานสอบสวนที่นายพนัสอ้างก็ไม่ได้มาเบิกความรับรองต่อศาล อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ก็ว่านายพนัสอาจเบิกความพลั้งเผลอไป พนักงานอัยการไม่เคยแจ้งคืนของกลาง ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังมีพยานอื่นอยู่อีกและแถลงขอสืบพยาน จึงชอบที่ศาลจะฟังพยานของโจทก์ต่อไป ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยานโจทก์เสียนั้น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์ที่เหลือต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share