แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1   จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 2257  เนื้อที่ 6 ไร่  45 วา  ซึ่งแบ่งแยกจากที่ดินโฉนดที่ 13 ให้แก่บิดาโจทก์โดยใส่ชื่อโจทก์  เมื่อวันที่  16  มีนาคม  2491  ต่อมาโจทก์ทราบว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองเป็นที่ดินโฉนดที่ 13  ที่เหลือมีเนื้อที่ 5 ไร่  78 วา  ไม่ใช่ที่ดินโฉนดที่  2257  ส่วนที่ดินโฉนดที่ 2257  จำเลยที่ 1  เป็นผู้ครอบครองแล้วโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ไป  ดังนี้  แม้ที่ดินที่โจทก์เป็นเรื่องครอบครองที่ดินสับแปลงกัน  ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องขอบังคับจำเลยก็ดี  แต่โจทก์จะต้องจัดการฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ 1  ให้ปฏิบัติตามสัญญาภายใน 10 ปี  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 164
จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันที่  16  มีนาคม  2491   ฉะนั้น  อายุความฟ้องร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่  17  มีนาคม  2491  เป็นต้นไป  เพราะโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้แล้ว  ไม่ใช่นับแต่วันที่  14  ตุลาคม  2506  ซึ่งเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองไม่ใช่ที่ดินโฉนดเลขที่  2257   แต่โจทก์เพิ่งมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยเมื่อวัน ที่  27  พฤศจิกายน  2506  เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี  แล้วคดีโจทก์ขาดอายุความตามมาตรา 163
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๑๓  เนื้อที่  ๑๗ ไร่ ๑ งาน ๔๘ วา  พ.ศ. ๒๔๙๑  ตกลงขายให้นายตาบิดาโจทก์ ๖ ไร่ ๔๕ วา  ขายให้นางละม่อมป้าโจทก์ ๖ ไร่ ๒๕ วา  อีกแปลงหนึ่ง  ส่วนที่เหลือ ๕ ไร่ ๗๘ วา  เป็นที่ดินตามโฉนดเดิมเลขที่ ๑๓   วันที่  ๑๖  มีนาคม  ๒๔๙๑  จำเลยที่ ๑  จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่  ๒๒๕๗  ให้นายตาบิดาโจทก์  ราคา ๑๐,๐๐๐ บาท  โดยนายตาลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์  นายตาและโจทก์ครอบครองตลอดมา  ต่อมาโจทก์ตรวจหลักฐานที่สำนักงานที่ดินจึงทราบว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองเป็นที่ดินโฉนดที่  ๑๓  เนื้อที่  ๕ ไร่ ๗๘ วา  ที่จำเลยที่ ๑  ถือกรรมสิทธิ์และได้จดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ ๒ ไปเมื่อวันที่  ๕  สิงหาคม  ๒๕๐๖  ไม่ใช่ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๒๒๕๗
ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๒๕๗  ห้ามจำเลยที่ ๒ เกี่ยวข้องกับให้จำเลยที่ ๒  รับมอบที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓ ตามฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า  ที่ดินที่ขายให้จำเลยที่ ๒ นั้น  จำเลยได้ครอบครองด้วยความสุจริต  เปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของมากว่า ๑๐ ปี  จนโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ ๒ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม  และคดีขาดอายุความ ฯลฯ
จำเลยที่ ๒  ให้การว่า  โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง  บิดาโจทก์ซื้อขายจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายให้บิดาโจทก์  และโจทก์ครอบครองมาจนถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า ๑๕ ปี  โจทก์มิได้โต้แย้งเรื่องที่ดินผิดแต่อย่างใด  สัญญาซื้อขายทำกันมาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว  คดีขาดอายุความ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย  วินิจฉัยว่า  การซื้อขายทุกฝ่ายเป็นไปโดยสุจริต  และถูกต้องตามกฎหมาย  ต่างเข้าครอบครองที่พิพาทแล้ว  คำขอของโจทก์ไม่มีทางบังคับคดีให้ได้  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  คดีโจทก์ขาดอายุความ  พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับ  ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลฎีกาเห็นว่า  แม้จะฟังตามฟ้องว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๓ ซึ่งไม่ใช่ที่ดินตามโฉนดเลขที่  ๒๒๕๗  ที่จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ใส่ชื่อโจทก์  และเป็นเรื่องครอบครองที่ดินสับแปลงกัน  ซึ่งโจทก์มีสิทธิจะฟ้องขอบังคับจำเลยได้ก็ดี  แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  โจทก์จะต้องจัดการฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ ๑  ให้ปฏิบัติตามสัญญาภายในกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้  คือ  สิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๖๔  และอายุความในเรื่องนี้จะเริ่มนับแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปตามมาตรา ๑๖๙ คดีนี้จำเลยที่ ๑ ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และมอบที่ดินให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๔๙๑ ฉะนั้น อายุความฟ้องร้อง เริ่มนับตั้งแต่วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๔๙๑ เป็นต้นไป เพราะโจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้แล้วไม่ใช่นับตั้งแต่วันที่  ๑  ตุลาคม  ๒๕๐๖  ซึ่งเป็นวันที่โจทก์รู้ว่าที่ดินที่โจทก์ครอบครองไม่ใช่ที่ดินโฉนดเลขที่  ๒๒๕๗  แต่โจทก์เพิ่งมาฟ้องขอให้บังคับจำเลย  เมื่อวันที่  ๒๗  พฤศจิกายน  ๒๕๐๖  เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว  คดีของโจทก์ตกเป็นอันขาดอายุความตามมาตรา ๑๖๓  ห้ามมิให้โจทก์ฟ้องจำเลย  และกฎหมายลักษณะความนี้เป็นสิทธิของจำเลยที่จะยกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ทุกกรณี  ฉะนั้น  ที่โจทก์ฎีกาว่า  จะยกอายุความมาบังคับในกรณีครอบครองผิดแปลงไม่ได้  หรืออายุความเพิ่งเริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์รู้ว่าครอบครองที่ดินผิดแปลงนั้น ฟังไม่ได้
พิพากษายืน

