แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และบริวารใช้ทางพิพาทเดินออกสู่ทางสาธารณะมากว่า 10 ปี ทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ เมื่อจำเลยก่อสร้างกำแพงรุกล้ำทางพิพาท เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวก โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยึดทรัพย์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อถอนกำแพงเฉพาะส่วนที่รุกล้ำได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมาตรา 1390
ที่ดินโจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นทางภาระจำยอมในคดีก่อนเป็นคนละแปลงกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงไม่เป็นการยื่นคำฟ้องในเรื่องเดียวกันโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้อีก ไม่เป็นการฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภาระจำยอม ก็ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้น เป็นการไม่ชอบโจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๓๔๘ซึ่งตกอยู่ในวงล้อมของที่ดินแปลงอื่น ๆ ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ได้อาศัยเดินผ่านที่ดินตรงรอยต่อระหว่างที่ดินของนางกิริยา ซอแก้ว กับที่ดินของจำเลยที่ ๑ เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะมาเป็นเวลาเกินกว่า ๒๐ ปีแล้ว เป็นทางกว้างประมาณ ๒ เมตร ยาวประมาณ ๑๐ เมตรเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๒ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ทำรั้วซีเมนต์รุกล้ำเข้าไปในทางภารจำยอม ทำให้การสัญจรไปมาได้รับความลำบาก ขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ทำไว้ในทางภารจำยอมให้หมดสิ้น ถ้าจำเลยไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและให้จำเลยจดทะเบียนทางภารจำยอมให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องและใบมอบอำนาจไม่ถูกต้อง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่เคยใช้ที่พิพาทเป็นทางภารจำยอม จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้อาศัยเดินชั่วคราวและเป็นทางเดินประมาณ ๕๐ เซนติเมตรตลอดแนว โจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้อีกหลายทาง จำเลยทั้งสองเคยบอกกล่าวให้โจทก์และบริวารเลิกใช้ทางเดินพิพาท รั้วที่จำเลยที่ ๒ สร้างขึ้นไม่ได้รุกล้ำทางพิพาท ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๐๒๒๐/๒๕๒๖ ของศาลชั้นต้นซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนทางภารจำยอมในโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๑๒๖ ของจำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์โดยมีความกว้างรวมทั้งทางพิพาทปัจจุบันเป็นระยะ ๑.๕๐ เมตรโดยตลอดถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภารจำยอมให้หมดสิ้นหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้โจทก์รื้อถอนเอง โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางพิพาทให้ได้ความกว้าง ๑.๕๐ เมตร ตลอดแนวจากที่ดินของโจทก์ไปจดตรอกโรงวัว ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนภารจำยอม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และบริวารได้ใช้ทางพิพาทเดินออกสู่ถนนเจริญกรุงอันเป็นทางสาธารณะมากกว่า ๑๐ ปี ทางพิพาทเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๑๓๔๘ ของโจทก์โดยอายุความ เมื่อฟังว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้างกำแพงคอนกรีตบล็อกรุกล้ำทางพิพาทซึ่งเดิมมีความกว้าง ๑.๕๐ เมตร ตลอดแนว เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก โจทก์เจ้าของสามยทรัพย์ก็มีสิทธิฟ้องร้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนกำแพงคอนกรีตบล็อกเฉพาะส่วนที่รุกล้ำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ และมาตรา๑๓๙๐ แม้โจทก์จะเคยฟ้องและถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๑๐๒๒๐/๒๕๒๖ จำเลยที่ ๒ ซึ่งคัดค้านการถอนฟ้องแบะอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้น และโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒คดีนี้ในระหว่างที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีดังกล่าวก็ตาม แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๒๖ โดยไม่มีการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีและที่ดินที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นทางภารจำยอมในคดีก่อนก็เป็นคนละแปลงกับที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงไม่เป็นการยื่นคำฟ้องในเรื่องเดียวกัน โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ในคดีนี้อีกจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า ถ้าจำเลยทั้งสองไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภารจำยอมก็ให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายนั้นเป็นการไม่ชอบโจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ ทวิ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภารจำยอมเองโดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.