คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2ที่ 3 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเข้าทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้มือผลักและชกจำเลยที่ 1 ที่ใบหน้า ส่วนพวกที่หลบหนีคนหนึ่งใช้จอบตีจำเลยที่ 1 ย่อมมีความหมายว่า ฝ่ายของจำเลยที่2 ที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำความผิดในการทำร้ายฝ่ายจำเลยที่ 1 นั่นเอง ซึ่งโจทก์ก็ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 มาด้วยแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนใดผลักคนใดชกเป็นการกระทำร่วมกันหรือสมคบกันอย่างไร ก็ไม่ถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกที่หลบหนีอีก 2 คนอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้มือผลักและชกจำเลยที่ 1 ที่บริเวณใบหน้า ส่วนพวกที่หลบหนีคนหนึ่งใช้จอบตีทำร้ายจำเลยที่ 1เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ตามรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องและจำเลยที่ 1 ใช้ปืนพกเบรานิงยิงถูกบริเวณเหนือเข่าข้างขวาของจำเลยที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย ตามรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295

จำเลยทั้งสามต่างให้การปฏิเสธ แต่ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก จำเลยที่ 1 ขอให้การรับสารภาพ

ศาลแขวงธนบุรีฟังว่า จำเลยที่ 3 ผลักจำเลยที่ 1 ก่อน จำเลยที่ 2 เข้าชกต่อยจำเลยที่ 1 และคนงานของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้จอบตีจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงชักปืนยิงขึ้นฟ้า 1 นัดเพื่อขู่ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83 ปรับคนละ400 บาท ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมาย

โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 รับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ชอบที่จะลงโทษได้

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาข้อ 4 วรรคสุดท้าย มีว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องไว้เลยว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้มือผลักและชกนั้น จำเลยคนใดผลักคนใดชก เป็นการกระทำร่วมกันหรือสมคบกันอย่างไร จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม จะลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้มือผลักและชกจำเลยที่ 1 ที่ใบหน้า ส่วนพวกที่หลบหนีคนหนึ่งใช้จอบตีทำร้ายจำเลยที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายซึ่งหมายถึงพวกของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามฟ้องตอนต้นนั่นเอง และในกรณีฟ้องว่าจำเลยสองฝ่ายต่างเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ย่อมมีความหมายว่า อีกฝ่ายหนึ่งที่มีพวกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันกระทำความผิดในการทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งนั่นเอง ซึ่งโจทก์ก็ได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 อันเป็นบทว่าด้วยตัวการร่วมกันกระทำความผิดอยู่แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ศาลย่อมลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับอันตรายแก่กายตามมาตรา 295 ได้

พิพากษายืน

Share