คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4715/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คณะกรรมการสหกรณ์โจทก์มีมติให้ฟ้อง ส. เพียงคนเดียวและได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องในวันที่มีมตินั้น แต่หนังสือมอบอำนาจมิได้ระบุให้ฟ้องผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะจึงเป็นการมอบอำนาจทั่วไป เมื่อต่อมาคณะกรรมการสหกรณ์โจทก์ได้มีมติให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนี้ ผู้รับมอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
คณะกรรมการสหกรณ์โจทก์มีมติให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการของโจทก์ และโจทก์จ่ายเงินเดือนให้จำเลยที่ 1 ตลอดมาจนลาออกจากตำแหน่ง ดังนี้แม้สัญญาจ้างจำเลยที่ 1 จะมิได้ลงชื่อผู้มีอำนาจทำการแทนและประทับตราของโจทก์ตามข้อบังคับก็ตามการที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ปฏิบัติต่อกันดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการของโจทก์ตลอดมาจนกระทั่งลาออก
การที่จำเลยที่ 1 ขายนมให้แก่ ส. โดยไม่มีหลักประกันใด ๆ ฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการสหกรณ์โจทก์ เป็นเหตุให้ ส. ค้างชำระค่านมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะอ้างเหตุว่าได้รับคำแนะนำจากสหกรณ์จังหวัด ฯลฯ ให้ขายนมแก่ ส. มาปัดความรับผิดไม่ได้
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องระหว่างฎีกาว่า ได้ติดตามทวงหนี้สินจาก ส. และ ส. ได้ชำระแก่โจทก์เป็นเงิน 168,000 บาท หากเป็นความจริงจำเลยที่ 1 ย่อมขอให้โจทก์ลดจำนวนหนี้ดังกล่าวในชั้นบังคับคดีได้
จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้ แม้จำเลยอื่นให้การต่อสู้ไว้ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยเหล่านั้น หาทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ในเรื่องอายุความด้วยไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจยกเรื่องอายุความขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการโจทก์ยอมให้นายสุริยะซื้อเชื่อนมของโจทก์โดยมิได้ทำสัญญาตัวแทนจำหน่ายและสัญญาค้ำประกันความเสียหายจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาจ้างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ภายในวงเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๑๔ เป็นคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ได้ปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อมิได้ติดตามตรวจสอบปล่อยให้นายสุริยะทำการเป็นตัวแทนจำหน่ายนมของโจทก์และค้างชำระเงินค่านมหลายครั้งขอให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ถึงที่ ๑๔ ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหาย ๕๙๕,๙๘๕.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยและให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ผู้จัดการของโจทก์สัญญาจ้างไม่ได้ลงชื่อกรรมการผู้มีอำนาจและประทับตราของโจทก์ตามข้อบังคับจำเลยที่ ๑ มิได้ประมาทเลินเล่อนายสุริยะเป็นตัวแทนจำหน่ายนมโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ติดตามทวงหนี้จากนายสุริยะให้โจทก์เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทเศษแล้วและนายสุริยะทำหนังสือรับสภาพหนี้ที่เหลือไว้ให้แล้วโจทก์ไม่เสียหายขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้นายสุริยะหลายครั้งโดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบจำเลยที่ ๒ จึงพ้นความรับผิด
จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๗ และจำเลยที่ ๙ ถึงที่ ๑๔ ให้การว่าการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมของโจทก์เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ผู้จัดการจำเลยซึ่งเป็นกรรมการดำเนินการไม่เคยพิจารณาอนุมัติให้ขายเชื่อแก่นายสุริยะและจำเลยที่ ๑ ไม่เคยรายงานให้ทราบและคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว
จำเลยที่ ๘ ขาดนัดยื่นคำให้การต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๘ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหาย ๕๙๑,๖๕๙.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยหากไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ ใช้แทนในวงเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าแม้คณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ประชุมครั้งที่ ๒ มีมติให้ฟ้องนายสุริยะคนเดียวและลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องในวันที่มีมตินั้นเองแต่หนังสือมอบอำนาจนั้นก็มิได้ระบุให้ฟ้องผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะใบมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๖ จึงเป็นการมอบอำนาจทั่วไปนอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่าต่อมาคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ได้ประชุมครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๔ ให้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ด้วยการที่นายประเสริฐผู้รับมอบอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีนี้ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๖ ที่โจทก์มอบอำนาจทั่วไปให้นายประเสริฐไว้ก่อนแล้วหาทำให้นายประเสริฐไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ไม่
ก่อนที่จำเลยที่ ๑ รับหน้าที่เป็นผู้จัดการของโจทก์คณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ได้ประชุมกันเรื่องการจ้างผู้จัดการของโจทก์ก่อนแล้วและจำเลยที่ ๑ ก็ยอมรับเป็นผู้จัดการของโจทก์คณะกรรมการดำเนินการของโจทก์จึงมีมติให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการภายหลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้จัดการของโจทก์และโจทก์จ่ายเงินเดือนให้จำเลยที่ ๑ ในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่งจำเลยที่ ๑ ลาออกจากเป็นผู้จัดการ ดังนี้แม้ข้อบังคับของโจทก์ข้อ ๕๖ กำหนดให้ประธานกรรมการหรือรองประธานกรรมการกับเลขานุการหรือเหรัญญิกคนใดคนหนึ่งรวม ๒ คนเป็นผู้ลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในเอกสารทั้งปวงและในนิติกรรมสัญญาต้องประทับตราของโจทก์ไว้เป็นสำคัญด้วยแต่ในสัญญาจ้างจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมิได้ลงชื่อและประทับตราของโจทก์ตามข้อบังคับดังกล่าวก็ตามการที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ ปฏิบัติต่อกันดังกล่าวนั้นย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการของโจทก์ตลอดมาจนกระทั่งจำเลยที่ ๑ ลาออกจากเป็นผู้จัดการจะปฏิเสธว่าจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นผู้จัดการของโจทก์หาได้ไม่
ในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ได้ประชุมและมีมติว่าให้ผู้ซื้อนมนำหลักทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินหรือบ้าน) มาจำนองไว้กับโจทก์ในกรณีที่ซื้อนมเกินกว่า ๕,๐๐๐ บาท ถ้าซื้อต่ำกว่า ๕,๐๐๐ บาท ให้นำข้าราชการประจำตั้งแต่ชั้นโทขึ้นไปเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ก็ร่วมประชุมและทราบมติดังกล่าวด้วยต่อมาเมื่อนายสุริยะขอเป็นตัวแทนจำหน่ายนมของโจทก์และจำเลยที่ ๑ เสนอเรื่องราวต่อที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการที่ประชุมตั้งอนุกรรมการให้พิจารณาแต่แล้วอนุกรรมการก็หาได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์แต่ประการใดไม่จำเลยที่ ๑ เองนำสืบรับว่าคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ทักท้วงให้นายสุริยะจัดการให้ธนาคารค้ำประกันหรือมีหลักประกันแต่นายสุริยะหาประกันดังกล่าวมาให้โจทก์ไม่ได้ ดังนี้การที่จำเลยที่ ๑ ขายนมแก่นายสุริยะโดยไม่มีหลักประกันใด ๆ ฝ่าฝืนมติดังกล่าวของคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์เป็นเหตุให้นายสุริยะค้างชำระค่านมเป็นเงิน ๕๙๑,๖๕๙.๓๐ บาท จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อในหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ เองเมื่อนายสุริยะไม่ชำระหนี้ดังกล่าวจำเลยที่ ๑ จะอ้างเหตุที่สหกรณ์จังหวัดหัวหน้าฝ่ายส่งเสริมสหกรณ์โคนมและนักวิชาการกรมส่งเสริมสหกรณ์ให้คำแนะนำให้ขายนมแก่นายสุริยะมาปัดความรับผิดที่จำเลยที่ ๑ ก่อความเสียหายแก่โจทก์หาได้ไม่อนึ่งที่จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องว่าในระหว่างฎีกาจำเลยที่ ๑ ติดตามทวงถามหนี้สินดังกล่าวจากนายสุริยะและนายสุริยะชำระหนี้แก่โจทก์อีกเป็นเงิน ๑๖๘,๐๐๐บาท นั้นหากเป็นความจริงจำเลยที่ ๑ ก็ขอให้โจทก์ลดจำนวนหนี้ดังกล่าวในชั้นบังคับคดีได้อยู่แล้ว
ปัญหาเรื่องอายุความจำเลยที่ ๑ มิได้ให้การต่อสู้คดีไว้แม้จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๗ และจำเลยที่ ๙ ถึงที่ ๑๔ ให้การต่อสู้คดีเรื่องอายุความก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยเหล่านั้น หาทำให้จำเลยที่ ๑ ได้รับประโยชน์ในเรื่องอายุความดังกล่าวด้วยไม่จำเลยที่ ๑ ไม่อาจยกเรื่องอายุความขึ้นมาเป็นข้ออ้างในชั้นฎีกาได้
พิพากษายืนในระหว่างฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแก้ฎีกาเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้.

Share