แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยอ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟัง หรือถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223เมื่อผู้ร้องยกเหตุดังกล่าวเป็นข้อฎีกาขึ้นมาแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวน คดีนี้ได้มีการส่งหมายนัดอ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ไปให้ทนายผู้ร้องทราบโดยชอบแล้ว ส่วนคำแถลงของผู้ร้องที่ขอให้ส่งคำคู่ความ ไปยังภูมิลำเนาของผู้ร้องนั้น ปรากฏว่าผู้ร้องได้ยื่นไว้ ในคดีอื่น มิได้ยื่นไว้ในคดีนี้ ดังนั้น จึงต้องถือว่า ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟังโดยชอบแล้ว ไม่ชอบที่ผู้ร้องจะมา ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องฎีกา เมื่อล่วงเลยกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้น ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสี่ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 336 และตึกแถวเลขที่ 158พร้อมทั้งส่งมอบตึกแถวดังกล่าวให้โจทก์ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยที่ 2 และบริวารออกจากที่ดินและตึกแถวดังกล่าว แล้วส่งมอบตึกแถวดังกล่าวคืนให้โจทก์จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เป็นไปตามสัญญาดังกล่าว คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีลงวันที่ 10 มกราคม 2528 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินในตึกแถวพิพาทวันที่ 15 เดือนเดียวกัน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นสามีจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทเลขที่ 158 จากจำเลยที่ 1 ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2และบุคคลอื่นอาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาทตลอดมา ภายหลังโจทก์ฟ้องคดีนี้ผู้ร้องได้จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่13 ธันวาคม 2537 จำเลยที่ 2 ได้ย้ายออกจากตึกแถวพิพาทแต่ไม่ได้แก้ไขทะเบียนบ้าน ส่วนผู้ร้องยังคงอาศัยอยู่ในตึกแถวพิพาทจำเลยที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ร้องคำพิพากษาของศาลไม่ผูกพันผู้ร้องผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาท
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยที่ 1 เช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์มีกำหนด 3 ปี แต่ไม่มีสิทธิไปให้เช่าช่วง จำเลยที่ 2ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมรับว่าเป็นผู้เช่าช่วงตึกแถวพิพาทจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าครอบครัวผู้ร้องรู้เห็นยินยอมในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 2ภายหลังที่จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์แล้ว แต่ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยาในตึกแถวพิพาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องและขับไล่ผู้ร้องออกจากทรัพย์พิพาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าทนายความที่ให้ผู้ร้องใช้แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่24 กรกฎาคม 2532 โดยโจทก์มาศาล ส่วนผู้ร้องศาลได้ส่งหมายนัดให้ทนายผู้ร้องโดยชอบแล้วไม่ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2532ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาอ้างว่าผู้ร้องได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2531 ขอให้ส่งคำคู่ความไปยังภูมิลำเนาของผู้ร้อง เพราะผู้ร้องไม่ทราบว่าทนายความผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่แห่งใด ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2531 ผู้ร้องทราบว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปแล้ว และล่วงพ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาเมื่อผู้ร้อง ยังไม่ทราบหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น ถือว่าผู้ร้องยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ขอศาลชั้นต้นขออนุญาตให้ผู้ร้องฎีกาได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ได้มีการส่งหมายนัดไปให้ทนายความผู้ร้องทราบโดยการปิดหมายโดยชอบแล้ว คำแถลงของผู้ร้องที่ขอให้ส่งคำคู่ความไปยังภูมิลำเนาของผู้ร้องนั้นเป็นการยื่นไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 16163/2526 มิได้ยื่นในคดีนี้ และพ้นกำหนดอายุฎีกาแล้ว จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องถือได้ว่าเป็นการอุทธรณ์คำสั่งในเรื่องเกี่ยวกับการขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาหรือว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจะรับหรือไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 252 เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นฎีกาเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยอ้างเหตุว่า ศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟัง หรือถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบ คำร้องของผู้ร้องจึงมีลักษณะเป็นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังขึ้น แต่โดยที่ผู้ร้องได้ยกเหตุที่อ้างว่า ศาลชั้นต้นไม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องฟัง หรือกรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบอันจะมีผลในการนำไปพิจารณาว่าผู้ร้องมีสิทธิฎีกาหรือไม่ เป็นข้อฎีกาขึ้นมาแล้วศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้เสียเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ ในข้อดังกล่าวผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น เมื่อวันที่4 มีนาคม 2531 ขอให้ส่งคำคู่ความไปยังภูมิลำเนาผู้ร้องเพราะผู้ร้องไม่ทราบว่าทนายความผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่แห่งใดแต่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ทนายความผู้ร้องทราบโดยวิธีปิดหมาย แล้วอ่านคำพิพากษาไป ผู้ร้องจึงไม่ทราบว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ผู้ร้องเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2532 ล่วงพ้นกำหนดเวลายื่นฎีกาแล้วเมื่อผู้ร้องยังไม่ทราบหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นถือว่าผู้ร้องยังไม่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ขออนุญาตให้ผู้ร้องฎีกาได้นั้น เห็นว่า คดีนี้ได้มีการส่งหมายนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปให้ทนายความผู้ร้องทราบโดยการปิดหมายโดยชอบแล้ว ส่วนคำแถลงของผู้ร้องลงวันที่4 มีนาคม 2531 ที่ขอให้ส่งคำคู่ความไปยังภูมิลำเนาของผู้ร้องนั้น ปรากฏว่าผู้ร้องยื่นไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่16163/2526 ของศาลชั้นต้น มิได้ยื่นไว้ในคดีนี้ ดังนั้นจึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และผู้ร้องฟังโดยชอบแล้วตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2532เมื่อต่อมาผู้ร้องมาขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องฎีกาในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2532 อันเป็นการล่วงเลยกำหนดเวลา1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วทั้งเหตุที่ผู้ร้องอ้างก็มิใช่พฤติการณ์พิเศษ และเหตุสุดวิสัยผู้ร้องย่อมหมดสิทธิที่จะฎีกาได้
พิพากษายืน