คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4706/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินส่วนที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านนั้น เป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน แปลงที่จำเลยเช่าเพื่อทำนา ดังนั้นที่ดินที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้าน จึงยังคงเป็นที่นาอยู่หาได้เปลี่ยนสภาพจากที่นามาเป็นที่อยู่อาศัยไม่ ที่ดินที่เช่าเพื่อการทำนานั้นถือได้ว่าเป็นที่นาทั้งแปลงไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ดินจะใช้เป็นที่ปลูกบ้านหรือไม่
ตามคำนิยาม ‘นา’ ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 มาตรา 21 ก็ให้หมายความว่า’ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่’ ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนา ทั้งแปลงที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๔๕๘ มีเนื้อที่ ๓๕ ไร่ ๒๓ ตารางวา จำเลยได้อาศัยที่ดินแปลงดังกล่าวปลูกบ้านมีเนื้อที่ ๓ งานเศษ เป็นเวลานานหลายปี โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้วหลายครั้งแต่จำเลยไม่ออกไปถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถนำที่ดินส่วนที่จำเลยอยู่อาศัยให้บุคคลอื่นเช่า ซึ่งจะได้รับค่าเช่าเดือนละ ๑๕๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๑๕๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้เช่าที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๓๐ ไร่ จากบิดาโจทก์เพื่อทำนาเป็นเวลานานประมาณ ๔๐ ปีแล้ว โดยเสียค่าเช่าในอัตรา ๗ ถังต่อ ๑ ไร่ต่อ ๑ ปี ตลอดมาไม่เคยค้างชำระค่าเช่า และจำเลยได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่พิพาทด้วย จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ ต่อมาที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยยังคงเช่าทำนาตลอดมาจนถึงปัจจุบันและไม่เคยค้างชำระค่าเช่า โจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่านากับจำเลยตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินส่วนที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านนั้นเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงที่จำเลยเช่าเพื่อทำนา ดังนั้นที่ดินที่จำเลยใช้ในการปลูกบ้านจึงยังคงเป็นที่นาอยู่หาได้เปลี่ยนสภาพจากที่นามาเป็นที่อยู่อาศัยไม่ ที่ดินที่เช่าเพื่อการทำนานั้นถือได้ว่าเป็นที่นาทั้งแปลง ไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ดินจะใช้เป็นที่ปลูกบ้านหรือไม่ นอกจากนี้แล้ว ตามคำนิยาม “นา” ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ มาตรา ๒๑ ก็ให้ความหมายว่า “ที่ดินที่เช่าเพื่อทำนาทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่” ซึ่งแสดงว่าที่นานั้นไม่จำเป็นต้องใช้ในการทำนาทั้งแปลง ที่ดินส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำนาก็ยังคงเป็นที่นาอยู่
ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินของโจทก์แปลงนี้จำเลยได้ขอใช้เป็นที่อยู่อาศัยส่วนหนึ่งและขอเช่าเป็นที่นาอีกส่วนหนึ่ง ที่ดินที่จะเป็นที่นาหรือที่อยู่อาศัยต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบจะถือว่าเป็นที่นาตามคำนิยามซึ่งเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของกฎหมายหาได้ไม่นั้น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยขออาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงโดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงเรื่องที่จำเลยเช่าที่ดินเพื่อทำนา คดีจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์ตามสัญญาอาศัยและสัญญาเช่าดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นแห่งคดีศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืน

Share