แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยซึ่งไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อน เดินตรงเข้ามาหาผู้เสียหายขณะรอรถยนต์โดยสารเพื่อจะกลับบ้านหน้าโรงเรียนมีท่าทางขึงขัง ลักษณะจะทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกับแบมือ และพูดว่าขอเงิน 1 บาท ผู้เสียหายส่งเงินให้ไป 1 บาท หลังจากนั้นจำเลยได้เดินไปขอเงิน 1 บาทกับนักเรียนอื่นอีกคนหนึ่ง ดังนี้จำเลยเพียงแต่ขอเงินผู้เสียหาย โดยยังไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ฉะนั้นที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยมีท่าทางขึงขังและคิดว่าจะทำร้ายตนนั้นเป็นเพียงลักษณะท่าทางวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อยด้วยการแสดงอำนาจบาตรใหญ่มากกว่า ซึ่งยังไม่พอฟังว่าเป็นลักษณะขู่เข็ญว่าในทันใดจะใช้กำลังประทุษร้าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์(เพียงแต่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์) พฤติการณ์แห่งคดีจะเป็นเรื่องที่จำเลยแสดงอำนาจบาตรใหญ่อยู่บ้าง แต่จำเลยได้พูดขอเงินจากนักเรียนที่บริเวณหน้าโรงเรียนในเวลากลางวันเพียงคนละ 1 บาทเท่านั้น หลังจากนั้นจำเลยนำเงินไปซื้อก๋วยเตี๋ยวรับประทานเพื่อบรรเทาความหิวโหย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรรอการลงโทษจำคุก และวางมาตรการคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินสดจำนวน 1 บาทแก่ผู้เสียหาย และนับโทษของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1400/2522ของศาลจังหวัดนครสวรรค์
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 2ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1400/2532 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคแรก ให้จำคุก 5 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินสดจำนวน1 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ให้จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคแรกบัญญัติว่า “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อ ฯลฯ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์” ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความตามคำเบิกความของเด็กชายอนุเทพ ประชาชนผู้เสียหายว่า ขณะรอรถยนต์โดยสารเพื่อจะกลับบ้านอยู่ที่หน้าโรงเรียนจำเลยซึ่งไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อน เดินตรงเข้ามาหาผู้เสียหายมีท่าทางขึงขัง ลักษณะจะทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกับแบมือและพูดว่าขอเงิน 1 บาท ผู้เสียหายส่งเงินให้ไป 1 บาท เนื่องจากกลัวจำเลยจะทำร้าย หลังจากนั้นจำเลยก็เดินไปขอเงินจากเด็กนักเรียนอื่นอีกคนหนึ่งโดยพูดว่า “เฮ้ยขอเงินบาทหนึ่ง” นักเรียนคนนั้นก็ส่งเงินให้จำเลย 1 บาท ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยเพียงแต่ขอเงินผู้เสียหายโดยยังไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายฉะนั้นที่ผู้เสียหายเห็นจำเลยมีท่าทางขึงขังและคิดว่าจะทำร้ายตนเองนั้นเป็นเพียงลักษณะท่าทางของวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อยด้วยการแสดงอำนาจบาตรใหญ่มากกว่าซึ่งยังไม่พอฟังว่าเป็นลักษณะขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง สำหรับโทษของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2ได้วางโทษจำคุกจำเลยเพียง 1 ปี แม้พฤติการณ์แห่งคดีจะเป็นเรื่องที่จำเลยแสดงอำนาจบาตรใหญ่อยู่บ้าง แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยก็ได้พูดขอเงินจากเด็กนักเรียนที่บริเวณหน้าโรงเรียนในเวลากลางวันเพียงคนละ1 บาทเท่านั้น หลังจากได้เงินไปแล้วจำเลยก็นำไปซื้อก๋วยเตี๋ยวรับประทานเพื่อเป็นการบรรเทาความหิวโหย เช่นนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน รูปคดีจึงมีเหตุสมควรที่จะให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นคนดีสักครั้งหนึ่งโดยรอการลงโทษจำคุกให้ และวางมาตรการคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยมีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติประจำศาลชั้นต้นทุก2 เดือนจนกว่าจะพ้นกำหนดรอการลงโทษจำคุก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์