แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นการถือครองที่ดินแทนทายาทคือโจทก์ทั้งสองในฐานะที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลย หาใช่เป็นการยึดถือครอบครองไว้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวไม่ แม้จำเลยจะครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ และการที่โจทก์ทั้งสองขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นการขอแบ่งทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1363 โดยไม่มีอายุความ มิใช่เป็นการฟ้องเรียกให้แบ่งมรดก จำเลยจึงไม่อาจยกเอาเรื่องอายุความมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 มาปรับแก่คดีได้
การขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม แม้ศาลจะพิพากษาให้แบ่งปันทรัพย์สินกัน แต่ยังต้องดำเนินการอีกหลายขั้นตอนในการแบ่งทรัพย์สินกันตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1364 คำขอของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับมูลหนี้ที่ไม่อาจคาดการณ์หรือกล่าวอ้างได้ในอนาคต จึงไม่ใช่มูลหนี้ที่ให้สิทธิแก่โจทก์ทั้งสองจะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องในการเรียกร้องค่าเสียหาย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2560)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งนำที่ดินทั้งสองแปลงออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละส่วนเท่า ๆ กัน และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 6,640,000 บาท นับถัดจากเดือนที่ฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะแบ่งที่ดินแก่โจทก์ทั้งสองเสร็จสิ้น
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยถึงแก่ความตาย นายประพัฒน์ ผู้จัดการมรดกของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า นายลิ่มกัวจ๋ายหรือกั่วจ๋าย กับนางส่อหลักหรือสอหลัก มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือนายลิ่มซิวฮือหรือฉิ่วหู่หรือเฉียวหู้หรือเฉียวหู่หรืออิวหู นายลิมอับจุยหรืออับจุยหรือหลิมอาจุ้ย นายเซ่งจ๋วนหรือเฉ่งจ๋วน และนายจ่วนฮกหรือวิทูร์ ตามบัญชีเครือญาติ นายลิ่วซิวฮือกับนางขิ่มหรือขิมหรืออ่องขิม มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 จำเลย (จำเลยเกิดปี 2474 ตามสำเนาทะเบียนบ้าน) และนายรวม ตามบัญชีเครือญาติ แต่นายรวมถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2542 ตามมรณบัตร เมื่อปี 2473 นายลิ่มกัวจ๋าย (ปู่) ซื้อที่ดินตั้งอยู่ตำบลลิพอน อำเภอเมืองถลาง จังหวัดภูเก็ต 1 แปลง เนื้อที่ 452 ไร่ 2 งาน 99 ตารางวา ใส่ชื่อปู่ บิดาโจทก์จำเลยและนายลิมอับจุยเป็นผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายที่ดิน บิดาโจทก์จำเลยถึงแก่ความตายเมื่อปี 2477 ต่อมาปี 2481 ปู่ถึงแก่ความตาย ตามคำแปลจากป้ายหลุมฝังศพและภาพถ่าย เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2491 นายลิมอับจุย นายเซ่งจ๋วน นายจ่วนฮก และจำเลยร่วมกันยื่นคำขอรังวัดที่ดินดังกล่าวตามใบไต่สวนในการเดินสำรวจเพื่อออกโฉนด คำขอรังวัดตกค้าง และเรื่องขอรับโฉนดที่ดิน ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2492 มีการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยมีบุคคลผู้ยื่นคำขอทั้งสี่ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกันตามโฉนดที่ดินเลขที่ 1383 ตำบลศรีสุนทร (ลิพอน) อำเภอถลาง (เมืองถลาง) จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ดินคงเหลือ 423 ไร่ 3 งาน 36 ตารางวา ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2515 นายลิมอับจุยถึงแก่ความตาย วันที่ 10 มกราคม 2511 นายเซ่งจ๋วนถึงแก่ความตาย และวันที่ 9 กรกฎาคม 2515 นายจ่วนฮกถึงแก่ความตาย โดยศาลมีคำสั่งตั้งนายเบญญกร นายสมชาย และนางสาวเรณู เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายทั้งสามในเดือนตุลาคม 2542 ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้แบ่งปันที่ดินดังกล่าวออกเป็น 4 ส่วน เพื่อแบ่งปันกันระหว่างเจ้าของรวมตามคำพิพากษาตามยอม คงเหลือที่ดินในส่วนที่จำเลยถือกรรมสิทธิ์ 2 แปลง คือที่ดินแปลงคงโฉนดเลขที่ 1383 เนื้อที่ 97 ไร่ 2 งาน 37.5 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 35943 ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 97.3 ตารางวา ตามโฉนดที่ดิน
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองในประการแรกว่า จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาท เป็นการถือครองที่ดินแทนทายาทคือโจทก์ทั้งสองหรือไม่ ปัญหานี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยังไม่ได้วินิจฉัย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ทั้งสองขาดอายุความตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยหรือไม่ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏอยู่แล้วในสำนวน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียเอง โดยไม่ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยอีก ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ข้างต้นเกี่ยวกับความเป็นมาแห่งการได้ที่ดิน วันเวลาที่ยาวนานและบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกันจะเห็นได้ว่า นายลิ่มกัวจ๋ายหรือกั่วจ๋ายซึ่งเป็นปู่เป็นผู้ซื้อที่ดินเมื่อปี 2473 โดยใส่ชื่อตนเอง บิดาโจทก์ทั้งสองและจำเลย และนายลิมอับจุยหรืออับจุยหรือหลิมอาจุ้ยเป็นผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายที่ดิน ขณะนั้นจำเลยยังไม่เกิด แต่จำเลยนำสืบว่า ตามธรรมเนียมประเพณีจีน บุคคลซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่สุดจะเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน ปู่จึงเป็นหัวหน้าครอบครัวในการจัดการทรัพย์สินในครอบครัว แต่เมื่อปี 2477 บิดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยถึงแก่ความตาย และปี 2481 ปู่ถึงแก่ความตาย นายลิมอับจุยซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่สุดของครอบครัวจึงเป็นผู้จัดการทรัพย์สินต่อจากปู่ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2491 นายลิมอับจุยดำเนินการขอรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดิน และเปลี่ยนแปลงผู้มีสิทธิในที่ดินแตกต่างจากผู้มีสิทธิในที่ดินตามสัญญาซื้อขายที่ดิน โดยเพิ่มบุตรอีก 2 คน ของปู่คือนายเซ่งจ๋วนหรือเฉ่งจ๋วนและนายจ่วนฮกหรือวิทูร์ร่วมถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ส่วนของบิดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยใส่เป็นชื่อของจำเลย ซึ่งการดำเนินการไม่เคยแจ้งเรื่องแก่มารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยทราบตามใบไต่สวนในการเดินสำรวจเพื่อออกโฉนด คำขอรังวัดตกค้าง และเรื่องขอรับโฉนดที่ดิน ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2492 มีการออกโฉนดที่ดินดังกล่าว โดยมีบุคคลผู้ยื่นคำขอทั้งสี่ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกันตามโฉนดที่ดินเลขที่ 1383 พิเคราะห์แล้ว บิดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยถึงแก่ความตายเมื่อปี 2477 เมื่อบิดามารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยมีบุตรด้วยกัน 4 คน แสดงว่าบิดาและมารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยอยู่กินกันก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2478 ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2477 ประกาศใช้บังคับ มารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยย่อมเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาโจทก์ทั้งสองและจำเลย ทั้งมีสิทธิได้รับมรดกของสามี การที่มารดาโจทก์ทั้งสองและจำเลยกับโจทก์ทั้งสองไม่โต้แย้งคัดค้านการเปลี่ยนแปลงผู้มีสิทธิในที่ดินดังกล่าว ทั้งที่เป็นการดำเนินการตามอำเภอใจและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมแสดงให้เห็นว่าแต่ละฝ่ายยอมรับการจัดการทรัพย์สินดังกล่าวของครอบครัว เพราะถือหลักตามความเป็นจริงและความเป็นธรรมโดยยอมรับว่าเป็นมรดกของปู่ ก็ต้องแบ่งแก่สายของบุตรปู่ทั้งหมดและตรงตามธรรมเนียมประเพณีจีนด้วย จึงไม่เกิดข้อโต้แย้งหรือความขัดแย้งกันในครอบครัวแม้การแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจะกระทำภายหลังปู่ถึงแก่ความตายถึง 10 ปี แล้ว ทั้งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ภายหลังบุตรของปู่ทั้งหมดถึงแก่ความตายไปแล้ว จำเลยและทายาทแต่ละสายของบุตรปู่ก็ยินยอมแบ่งที่ดินออกเป็น 4 ส่วน เพื่อแบ่งปันกันระหว่างเจ้าของรวมตามคำพิพากษาตามยอม ปัญหาแห่งคดีดังกล่าวเกิดเพราะบุตรของปู่ที่เหลือคือนายลิมอับจุย นายเซ่งจ๋วน และนายจ่วนฮกถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2515 วันที่ 10 มกราคม 2511 และวันที่ 9 กรกฎาคม 2515 ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ซึ่งตามธรรมเนียมประเพณีจีนจะต้องหาผู้เป็นผู้ใหญ่ที่สุดของครอบครัวเพื่อเป็นผู้จัดการทรัพย์สินต่อเป็นรุ่นที่ 3 เนื่องเพราะสังคมเปลี่ยนแปลงและครอบครัวขยายใหญ่เกินขนาดที่จะรวมกันเป็นหนึ่งได้อีกต่อไป จนมีการฟ้องขอแบ่งที่ดินกันและเป็นการสิ้นสุดที่จะปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีจีนได้ต่อไปส่วนว่าบุตรของปู่แต่ละสายที่แบ่งแยกกันจะยังคงขนบธรรมเนียมประเพณีจีนไว้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของครอบครัวแต่ละสายไป สำหรับครอบครัวสายโจทก์ทั้งสองและจำเลยนั้น ก็ได้ความจากจำเลยเพิ่มเติมว่า ก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ไม่ถึงปี (ฟ้องวันที่ 28 พฤษภาคม 2552) จำเลยเคยเชิญโจทก์ทั้งสองไปที่บ้าน เนื่องจากจำเลยประสงค์จะแบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองบางส่วนคนละ 16 ไร่ แต่โจทก์ทั้งสองไม่รับข้อเสนอ เมื่ออาศัยพฤติการณ์แห่งคดีและเหตุผลดังที่วินิจฉัยข้างต้นย่อมรับฟังได้ว่า จำเลยยอมรับตามธรรมเนียมประเพณีจีนโดยไม่ถือการมีชื่อในที่ดินเพื่ออ้างเป็นสิทธิส่วนตน เจือสมกับข้อเท็จจริงที่จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ทั้งสองถามค้านว่า จำเลยไม่ทราบเหตุที่ใส่ชื่อจำเลยในโฉนดที่ดิน เนื่องจากบุตรคนอื่นของปู่ต่างเป็นผู้ชาย ส่วนบิดาจำเลยถึงแก่ความตาย จึงเหลือจำเลยเป็นผู้ชายคนเดียว จึงใส่ชื่อจำเลยไว้แทนหรือไม่ และที่จำเลยเสนอแบ่งที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง เพียงแต่ตกลงกันไม่ได้เพราะไม่เป็นการแบ่งส่วนให้ได้เท่าเทียมกัน ดังนี้ พยานหลักฐานตามทางพิจารณาโจทก์ทั้งสองนำสืบจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ดีกว่าจำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทเป็นการถือครองที่ดินแทนทายาทคือโจทก์ทั้งสองในฐานะที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลย หาใช่เป็นการยึดถือครอบครองไว้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวไม่ แม้จำเลยจะครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ และการที่โจทก์ทั้งสองขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นการขอแบ่งทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 โดยไม่มีอายุความ มิใช่เป็นการฟ้องเรียกให้แบ่งมรดกจำเลยจึงไม่อาจยกเอาเรื่องอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาปรับแก่คดีได้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองต่อไปว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสองนั้น แม้ศาลจะพิพากษาให้แบ่งปันทรัพย์สินกัน แต่ยังต้องดำเนินการอีกหลายขั้นตอนในการแบ่งทรัพย์สินกันตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ว่า การแบ่งทรัพย์สินพึงกระทำโดยแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวมหรือโดยขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน ถ้าเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไรไซร้ เมื่อเจ้าของรวมคนหนึ่งคนใดขอ ศาลอาจสั่งให้เอาทรัพย์สินนั้นออกแบ่ง ถ้าส่วนที่แบ่งให้ไม่เท่ากันไซร้ จะสั่งให้ทดแทนกันเป็นเงินก็ได้ ถ้าการแบ่งเช่นว่านี้ไม่อาจทำได้หรือจะเสียหายมากนักก็ดี ศาลจะสั่งให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างเจ้าของรวมหรือขายทอดตลาดก็ได้ เช่นนี้ คำขอของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับมูลหนี้ที่ไม่อาจคาดการณ์หรือกล่าวอ้างได้ในอนาคต จึงไม่ใช่มูลหนี้ที่ให้สิทธิแก่โจทก์ทั้งสองจะเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องในการเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยได้ ฎีกาโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 1383 และ 35943 ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต แก่โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ใน 3 ส่วน โดยให้เสียภาษีอากร ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการโอนฝ่ายละเท่า ๆ กัน หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ถ้าแบ่งแยกไม่ได้ให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสองตามส่วนดังกล่าว คำขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ