คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าธนาคารโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เพราะเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ กลับพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงิน 1,300,031.26 บาท ซึ่งมีดอกเบี้ยจำนวน 300,394.17 บาท ที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่าตกลงเป็นโมฆะรวมอยู่ด้วย จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ถูกต้องเพราะทำให้จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยมากไปกว่าที่ต้องรับผิดตามกฎหมายและเกินคำขอ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ย่อมมีอำนาจยกขึ้นปรับแก่คดีได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 243 (1) และมาตรา 246
ขณะทำสัญญากู้เงิน ธนาคารโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยซึ่งเป็นลูกค้าเงินกู้รายย่อยระยะยาวในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เพียงร้อยละ 12.25 ต่อปี ข้อตกลงในส่วนดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับเอาดอกเบี้ยตามสัญญาจากจำเลย ดังนั้น ที่ศาลชั้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,300,031.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 999,178.09 บาท นับถัดจากวันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น จึงไม่ถูกต้องเพราะเงินจำนวน 1,300,031.26 บาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์ดังกล่าวมีดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ที่จำเลยค้างชำระตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2541 ถึงวันฟ้องจำนวน 300,399.17 บาท รวมอยู่ด้วย
โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับดอกเบี้ยตามสัญญาเพราะตกเป็นโมฆะแต่เมื่อเป็นหนี้เงินจำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อตามสัญญากู้เงินตกลงให้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยเป็นรายเดือนภายในทุกวันที่ 16 ของเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2540 ต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม 2541 จำเลยชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจำเลยมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ 17 มกราคม 2542 มิใช่ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2541

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ 1,300,031.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 999,178.09 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าเบี้ยประกันภัยครั้งละ 459 บาท ทุกสามปีจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ถ้าได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,300,031.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 999,178.09 บาท นับถัดจากวันชำระหนี้ครั้งสุดท้าย (ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ 2 ธันวาคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จหากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 24666 ตำบลหนองหล่ม อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงิน 1,300,031.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 999,178.09 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ซึ่งเงินจำนวน 1,300,031.26 บาท แยกเป็นหนี้เงินกู้ 999,178.09 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2541 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 300,394.17 บาท และค่าเบี้ยประกันภัย 459 บาท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2541 ถึงวันฟ้องเป็นโมฆะ แต่ยังคงพิพากษาให้จำเลยชำระเงินในส่วนของดอกเบี้ยที่ศาลวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโมฆะจำนวน 300,394.17 บาท แก่โจทก์ทำให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เกินกว่าคำขอท้ายฟ้อง คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ 999,178.09 บาท ดอกเบี้ย 300,394.17 บาท และเบี้ยประกันภัย 459 บาท รวมเป็นเงิน 1,300,031.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 999,178.09 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจากจำเลยขณะทำสัญญากู้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นั้น เกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ดอกเบี้ยตามสัญญากู้ดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมดแล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงิน 1,300,031.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 999,178.09 บาท นับถัดจากวันที่ 2 ธันวาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จ โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เพราะเป็นข้อตกลงตามสัญญา ไม่ใช่ค่าเสียหายที่คู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่ศาลจะใช้ดุลพินิจปรับลดลงได้ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้จำเลยรับผิดชำระเงินตามฟ้องและให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 999,178.09 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าดอกเบี้ยเป็นโมฆะนั้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไรจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง และศาลชั้นต้นก็มิได้วินิจฉัยว่าดอกเบี้ยเป็นเบี้ยปรับโจทก์ยกเรื่องเบี้ยปรับขึ้นกล่าวอ้างในอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ฎีกาดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้อุทธรณ์ของโจทก์จะเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เพราะเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ แต่กลับพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระเงิน 1,300,031.26 บาท ซึ่งมีดอกเบี้ยจำนวน 300,394.17 บาท ที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่าตกเป็นโมฆะรวมอยู่ด้วย คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องเพราะทำให้จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยมากไปกว่าที่ต้องรับผิดตามกฎหมายและเกินคำขอ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ย่อมมีอำนาจยกขึ้นปรับแก่คดีได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 243 (1) และมาตรา 246 ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ไปเสียทั้งหมด ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย และเนื่องจากพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนดังกล่าว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่าขณะทำสัญญาเงินกู้เงินเอกสารหมาย จ.5 โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยซึ่งเป็นลูกค้าเงินกู้รายย่อยระยะยาวในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์เอกสารหมาย จ.10 (แผ่นที่ 2) ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เพียงร้อยละ 12.25 ต่อปี ข้อตกลงในส่วนดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับเอาดอกเบี้ยตามสัญญาจากจำเลย ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,300,031.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 999,178.09 บาท นับถัดจากวันชำระหนี้ครั้งสุดท้าย (ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น จึงไม่ถูกต้อง เพราะเงินจำนวน 1,300,031.26 บาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์ดังกล่าวมีดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ที่จำเลยค้างชำระตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2541 ถึงวันฟ้องจำนวน 300,399.17 บาท รวมอยู่ด้วย ศาลฎีกาจึงต้องแก้ไขเสียให้ถูกต้อง โดยให้จำเลยรับผิดชำระหนี้เงินกู้ 999,178.09 บาท และค่าเบี้ยประกันภัย 459 บาท ที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนจำเลยไป รวมเป็นเงิน 999,637.09 บาท ส่วนดอกเบี้ยแม้โจทก์จะไม่มีสิทธิบังคับตามสัญญาเพราะตกเป็นโมฆะก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินจำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.5 ตกลงให้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยเป็นรายเดือนภายในทุกวันที่ 16 ของเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2540 ต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม 2541 จำเลยชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจำเลยมิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีก จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ 17 มกราคม 2542 มิใช่ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2541 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 999,637.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 999,637.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 999,178.09 บาท นับแต่วันที่ 17 มกราคม 2542 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 24666 ตำบลหนองหล่ม อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ

Share