คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4696/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเรื่องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจาก ล. สามี พ. ซึ่งเป็นมารดาโจทก์โดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกัน จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่างก็เบิกความเป็นพยานว่าเห็น ล. ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ให้จำคุกคนละ 6 เดือนปรับคนละ 1,000บาทให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ความว่าเดิมจำเลยที่1 ฟ้องโจทก์ต่อศาลจังหวัดอุบลราชธานีเรื่องขับไล่เรียกค่าเสียหายตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 275/2527 ซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 เบิกความเป็นพยานว่าจำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายล้อมสามีนางพันซึ่งเป็นมารดาโจทก์โดยไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ต่างก็เบิกความเป็นพยานว่าเห็นนายล้อมขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่าข้อความที่จำเลยทั้งสี่เบิกความดังกล่าวจะเป็นความเท็จหรือไม่ ฯลฯ เห็นว่าจำเลยทั้งสี่เบิกความโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนทั้งการซื้อขายที่ดินก็ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายล้อมจริงดังนั้นข้อความที่จำเลยทั้งสี่เบิกความต่อศาลจึงเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน.

Share