คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4686/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อสัญญาขายฝากที่ดินเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงินจึงเป็นนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง จำเลยจะขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองชำระเงินตามราคาขายฝากที่ดินเป็นต้น เงินกู้ไม่ได้ แต่ต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงินที่ถูกอำพรางไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคสอง โดยถือเพียงว่าสัญญาขายฝากที่ดินเป็นหลักฐานว่าโจทก์ทั้งสองได้กู้ยืมเงินจากจำเลย และโจทก์ทั้งสองได้มอบโฉนดที่ดินของตนให้จำเลยยึดถือไว้เป็นหลักประกันเงินกู้เท่านั้น สำหรับการขายฝากที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยเมื่อตกเป็นโมฆะดังวินิจฉัยแล้ว ศาลชอบที่จะพิพากษาให้เพิกถอนเสียได้โดยจำเลยยังคงยึดถือโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสองไว้ได้จนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเงินกู้และดอกเบี้ยแก่จำเลยครบถ้วน

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า สัญญาขายฝากเป็นโมฆะ ให้จำเลยรับชำระหนี้เงินกู้ต้นเงินจำนวน 1,200,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นเวลา 8 เดือน รวมเป็นเงินจำนวน 1,260,000 บาท จากโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดินดังกล่าว และมอบโฉนดที่ดินคืนแก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝาก ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ทั้งสองเป็นเงินจำนวน 1,065,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กันยายน 2540 จนถึงวันที่ 25 กันยายน 2541 และให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 25867 และ 22233 ตำบลหาดนางแก้ว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ข้อหาอื่นให้ยก (ที่ถูก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทั้งสองทำสัญญาขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 25867 และ 22233 ตำบลหาดทรายแก้ว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับไว้แก่จำเลย ตามสัญญาขายฝากที่ดิน เพื่ออำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงินซึ่งโจทก์ทั้งสองกู้ยืมจากจำเลย
จำเลยฎีกาข้อแรกว่า เมื่อโจทก์ทั้งสองและจำเลยกู้ยืมเงินกันโดยถือเอาสัญญาขายฝากที่ดิน เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม จึงต้องถือเอาจำนวนเงินตามสัญญาขายฝากที่ดินซึ่งระบุจำนวนเงินที่ตกลงขายฝากกันแปลงละ 900,000 บาท เป็นต้นเงินกู้ที่โจทก์ทั้งสองจะต้องชำระให้แก่จำเลยนั้น เมื่อสัญญาขายฝากที่ดินเป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลย สัญญาขายฝากที่ดินจึงเป็นนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง จำเลยจะขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองชำระเงินตามราคาขายฝากที่ดินแปลงละ 900,000 บาท เป็นต้นเงินกู้ไม่ได้ แต่ต้องบังคับตามที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยมีเจตนาจะผูกพันในนิติกรรมการกู้ยืมเงินที่ถูกอำพรางไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคสอง โดยถือเพียงว่าสัญญาขายฝากที่ดินเป็นหลักฐานว่าโจทก์ทั้งสองได้กู้ยืมเงินจากจำเลย และโจทก์ทั้งสองได้มอบโฉนดที่ดินของตนให้จำเลยยึดถือไว้เป็นหลักประกันเงินกู้เท่านั้น สำหรับการกู้ยืมเงินซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางนั้น ศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสองกู้เงินจำเลยเพียง 1,065,000 บาท เท่าที่จำเลยส่งมอบให้ตามบันทึกของสามีจำเลย จำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า บันทึกของสามีจำเลยไม่ถูกต้องอย่างไร คงฎีกาขอให้โจทก์ทั้งสองชำระเงินเพิ่มอีก 735,000 บาท เพื่อให้ครบยอดเงิน 1,800,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขายฝากที่ดินทั้งสองแปลงในสัญญาขายฝากที่ดิน เมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าสัญญาขายฝากที่ดินดังกล่าวเป็นนิติกรรมอำพราง ราคาขายฝากตามสัญญาขายฝากที่ดินดังกล่าวจึงไม่ใช่จำนวนเงินที่ศาลจะบังคับให้โจทก์ทั้งสองชำระแก่จำเลยได้ โจทก์ทั้งสองคงต้องรับผิดชำระเงินเท่าที่กู้ยืมจากจำเลย 1,065,000 บาท เท่านั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น สำหรับการขายฝากที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยเมื่อตกเป็นโมฆะดังวินิจฉัยแล้วก็ชอบที่จะพิพากษาให้เพิกถอนเสีย
ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายในปัญหาเรื่องดอกเบี้ยว่า จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยที่ศาลล่างทั้งสองให้โจทก์ทั้งสองชำระดอกเบี้ยเพียงถึงวันที่ 25 กันยายน 2541 นั้นในปัญหาดังกล่าวศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2541 อันเป็นวันที่โจทก์ทั้งสองขอปฏิบัติการชำระหนี้ โจทก์ทั้งสองได้เตรียมตั๋วแลกเงินพร้อมชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยครบถ้วนตามนิติกรรมการกู้ยืมเงิน แต่จำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้ในวันที่โจทก์ทั้งสองกำหนด โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จำเลยในฐานะเจ้าหนี้ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ทั้งสองจึงต้องชำระดอกเบี้ยจนถึงวันที่จำเลยผิดนัดเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 1,065,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2541 และให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 25867 และ 22233 ตำบลหาดแก้ว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2541 แต่ยังคงให้จำเลยยึดโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้จนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเงินและดอกเบี้ยดังกล่าวแก่จำเลยครบถ้วน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share